๔. “ดูความต้องการของลูกค้าฉันใด ก็ดูความต้องการของจิตฉันนั้น อย่าแก้อารมณ์พร่ำเพรื่อ จักมากไปหรือน้อยไปก็ไม่ได้ผล ต้องแก้ให้พอดีกับกำลังของอารมณ์ด้วย”
๕. “อุปมาเหมือนกำลังไฟมี ๑๐๐ แรงเทียน เจ้าจักใช้หลอด ๒๐๐ แรงเทียนมาใส่ มันก็ช็อตได้ฉันใด อารมณ์จิตที่ได้รับการป้อนพระกรรมฐานไม่ตรงกำลังของจริต ก็ไม่ได้ผลฉันนั้น อารมณ์บ่นคือไม่ตรงกับความพอใจคนขายก็เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นความโง่ของคนขายเอง ที่ไม่ศึกษา ไม่ซักถามหรือใคร่ครวญถึงความต้องการของคนซื้อ รู้แต่ว่าต้องการน้ำตาล แต่ไม่ฉลาดที่จักรู้ความว่า ต้องการใช้น้ำตาลอย่างไร อารมณ์จิตก็ฉันนั้น ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันตามจริตที่เกิดขึ้นมากเกิดขึ้นน้อยในแต่ละครั้ง แก้ไขอย่างไรก็ไม่พอดี มากไป น้อยไป ก็ไม่ได้ผลฉันนั้น”
๖. “ศึกษาความต้องการของจิตให้ดี ๆ อย่าตามใจคนขาย ต้องตามใจคนซื้อ ทำกรรมฐานอย่าทวนจริต จักไม่ได้ผล”
๗. “เหมือนกับหมอรักษาคนไข้ จักต้องรู้อาการของคนไข้ รู้ต้นเหตุของการเป็นไข้ รู้กำลังของการเป็นไข้นั้น จึงจักรักษาโรคตามที่คนไข้เป็นได้ การให้ยาก็ต้องตรงกับโรคที่คนไข้เป็นอยู่ ให้อย่างไรจึงจักพอดีกับกำลังโรคนั้น ให้มากเกินไป คนไข้ก็อาการหนักเพราะยาเกินกำลัง ให้น้อยเกินไป อาการก็ไม่หาย เพราะได้ยาไม่เท่าที่โรคต้องการ”
|