ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 21-04-2025, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,379
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,234 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาแปะแกจะใช้กล้องยาสูบที่ทำจากเหง้าไม้ไผ่ ทางด้านปลายกล้องเลี่ยมทองเหลือง ทางด้านหัวกล้องซึ่งเป็นที่ใส่ยาเส้น ก็เป็นทองเหลือง ตั้งแต่หัวจรดท้าย ยาวประมาณศอกเศษ ๆ ถึงเวลาบรรดานักเลงคนไทยถือคมแฝกบ้าง ถือมีดดาบบ้าง มีดซุยบ้าง มาหาเรื่อง อาแปะแกตีด้วยกล้องยาสูบ ไม่มีใครถืออาวุธติด เพราะว่าทุกครั้งแกจะเคาะใส่ชีพจรข้อมือพอดี จะมาท่าไหนก็ตาม โดนอาแปะแกหวดกลิ้งหมด..! ตอนหลังพวกนักเลงจึงไม่กล้าที่จะไปยุ่งกับแก มาในระยะหลัง แกยังสอนวิทยายุทธ์ให้กระผม/อาตมภาพด้วย

แล้วโดยเฉพาะถึงเวลา ถ้าหากว่าหาอะไรกินไม่ได้ ก็จะบอกอาแปะว่าอยากจะกินอะไร ? ถ้าเป็นนกกระทา แกก็พาเข้าไปในไร่ ซึ่งส่วนใหญ่มีการขุดพลิกดินขึ้นมาแล้ว บรรดานกกระทาจะมาซุ่มหากินกันอยู่ตามแนวก้อนดิน อาแปะแกก็จะเอาผ้าขาวม้ามาบิดเป็นเกลียวแข็ง แล้วถึงเวลาก็ให้กระผม/อาตมภาพเอาก้อนดินโยนเข้าบริเวณที่นกหากินอยู่

ปกติแล้วนกกระทาจะซุ่มอยู่ติดพื้น แต่ถ้าหากว่าตกใจถึงจะบินขึ้น อาแปะก็จะขว้างด้วยผ้าขาวม้าที่ม้วนเกลียวแข็งอยู่อย่างนั้น รับรองว่าไม่เคยพลาด ขว้างเมื่อไรก็ได้กินเมื่อนั้น ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน อาแปะบอกว่าวิชานี้ คนจีนเรียกว่า "บิดผ้าเป็นกระบอง" สามารถใช้เป็นอาวุธได้ด้วย ในเมื่อซิบเจ็กแกเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ์มา จึงสามารถที่จะใช้นิ้วมือกดให้เหรียญหักกลางได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพขนาดใช้ค้อนทุบแล้ว ยังไม่ค่อยอยากจะหักเลย..!

ในเรื่องของการพนันส่วนอื่น ๆ ที่เคยเห็นอยู่ ก็จะมีในลักษณะของการทายหมายเลขรถที่วิ่งผ่านมา ซึ่งตอนนั้นก็มีรถอยู่ในหมู่บ้านแค่สองคันเท่านั้น ถึงเวลามีคนที่จำแม่น ฟังเสียงได้ว่ารถคันนี้เป็นของผู้ใหญ่บ้าน รถคันนี้เป็นของกำนัน ก็เป็นอันว่ากินอีกฝ่าย "หมดตัว" ทุกที ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งหูไม่ดีเท่า ยังสงสัยจนทุกวันนี้ว่า ทำไมคู่หูถึงได้ทายแม่นขนาดนั้น ? แต่ว่าถ้าไม่เสียเงินเลี้ยงเหล้า ก็ต้องเสียสตางค์ ซึ่งสตางค์สมัยนั้นเรียกว่า "เสียอัฐ" "เสียเบี้ย" ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งไปชนิด "หมดเนื้อหมดตัว" เลยก็มี..!

ส่วนเรื่องอบายมุขอื่น ๆ ก็มีน้ำตาลเมา ส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำตาลโตนด หรือว่าน้ำจากต้นมะพร้าว ที่เขาปาดแล้วก็เอากระบอกไม้ไผ่ไปรองไว้ตั้งแต่ตอนเช้า โดยเฉพาะถ้าจะทำเป็นน้ำตาลเมา ผู้ใหญ่ก็จะให้เราถากเปลือกตะเคียนบ้าง ขุดเอารากต้นมะเกลือบ้าง มาปิ้งไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่กระบอกไปด้วย ประมาณ ๕ - ๖ ชั่วโมงก็เริ่ม "ได้ที่"

คำว่า "ได้ที่" ก็คือกินเข้าไปแล้วจะมึน ๆ แล้วเป็นการมึนอยู่ในลักษณะที่ไม่ค่อยจะรู้ตัว บางคนถ้าหากว่าสั่งกินไป ๒ หม้อเขียว ๓ หม้อเขียว เพราะว่ารสหวาน กินง่าย พอถึงเวลาเพื่อนบอกว่าจะไปส่งบ้าน ก็รีบห้ามไว้ บอกว่า "ไม่เป็นไร กูกลับได้" แต่พอลุกขึ้นก็หงายหลังโครมลงไปเลย..! เพราะว่าน้ำตาลเมานั้นเป็นอะไรที่เมาแบบนิ่มนวลมาก เมาชนิดที่คนกินไม่รู้ตัวว่าตนเองเมาอยู่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2025 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา