ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 18-04-2025, 21:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งก็คือมีการแต่งกายที่เรียบร้อยมากเวลาไปวัด ถ้าไม่ใช่บรรดาผู้ที่อายุมากแล้ว ไปอยู่วัดเพื่อถือศีล ๘ หรือว่าศีลอุโบสถ ซึ่งมักจะต้องนุ่งขาวห่มขาวไป ถ้าเป็นผู้ชายก็จะมีผ้าขาวม้าพาดบ่าไปด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะมีผ้าสะไบพาดบ่าไปด้วย แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงทั่ว ๆ ไป เวลาไปวัด ก็จะนุ่งผ้าถุง ซึ่งเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ผ้าซิ่น" แล้วก็ใส่เสื้อแขนยาวแบบแขนกระบอก กลัดกระดุมมิดชิด

ไม่ไปโชว์ว่าแม่ให้ตนเองมาเท่าไรอย่างกับสมัยนี้..! การแต่งเนื้อแต่งตัวต้องเรียบร้อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว
เขาดูกระทั่งกริยามารยาท และข้าวปลาอาหารที่นำไปถวายพระ เพื่อเป็นการประเมินว่าลูกสาวบ้านนี้ทำกับข้าวกับปลาเก่งหรือไม่ ? เหล่านี้เป็นต้น

โดยเฉพาะ
มีค่านิยมในการใช้ขันเงินขันทอง เพื่อที่จะใส่ข้าวไปถวายพระ ถ้าหากว่าผู้ที่มีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี อย่างเช่นว่าลูกสาวของอาประเสริฐ โตทับ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกเป็นพี่ ก็จะมีขันทองใส่ข้าวไปถวายพระ ที่บ้านเองถึงแม้ว่าฐานะไม่ดีมาก แต่ว่าพี่สาวก็ช่วยกันทำงานเก็บเงิน จนกระทั่งสามารถที่จะหาขันข้าว พานรอง ตลอดจนทัพพีทำด้วยเงินแท้ได้

เนื่องเพราะเชื่อกันตามที่ในนิทานซึ่งเล่ากันว่า พระอาทิตย์นั้นได้ใช้ขันทองคำในการใส่ข้าวถวายพระ จึงไปเกิดเป็นสุริยเทพบุตร มีวิมานทองคำสว่างไสวไป ๘,๐๐๐ โยชน์ พระจันทร์นั้นใช้ขันเงินใส่ข้าวไปถวายพระ จึงมีวิมานเงินสว่างไสวไป ๘,๐๐๐ โยชน์ ส่วนราหูซึ่งเป็นน้องเล็กสุด หาอะไรไม่ได้ ก็เอาข้าวใส่กระบุงไปถวายพระ ทำให้เกิดมารูปชั่วตัวดำ คนสมัยนั้นจึงมีค่านิยมในการที่จะใช้ขันเงินขันทองในการใส่ข้าวไปถวายพระ

ถ้าหากว่าหาไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องเป็นขันทองเหลืองอย่างหนา ที่เรียกกันว่า "ขันลงหิน" ก็คือตีขึ้นรูปแล้วใช้หินลับมีดขัดเสียจนกระทั่งเรียบลื่น เพื่อที่จะนำไปใส่ข้าวหรือว่าใส่บาตรพระที่หน้าบ้านทุกวัน ค่านิยมเหล่านี้นั้นไม่ได้มีอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนี้ แต่ว่าสมัยนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติกันเลยทีเดียว

เมื่อโยมพ่อเจ็บไข้ได้ป่วย โยมแม่ซึ่งต้องเลี้ยงลูกตั้งหลายคน บรรดาพี่สาวก็เริ่มแต่งงานออกไป พี่ชายก็แต่งสะใภ้เข้ามา จึงทำให้ฐานะทางบ้าน "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" ต้องไปเที่ยวหยิบยืมญาติพี่น้องของตนเอง จนกระทั่งกลายเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก แล้วก็ตกเป็นขี้ปากของญาติพี่น้องเขาทั่วไป ภายหลังไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี แต่ว่าอาประเสริฐซึ่งเป็นผู้ที่นับถือกัน ในลักษณะของพี่น้องกับโยมพ่อเท่านั้น ท่านเป็นเจ้าของโรงสี กลับเป็นคนที่ช่วยเหลือครอบครัวของกระผม/อาตมภาพเอาไว้มากที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2025 เมื่อ 00:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา