ทำกรรมฐานอย่าทวนจริต จักไม่ได้ผล
ทำกรรมฐานอย่าทวนจริต จักไม่ได้ผล
เมื่อวันจันทร์ที่ ๗ มิ.ย. ๒๕๓๖ เพื่อนผมท่านฝันว่ามีคนมาสั่งซื้อน้ำตาลทรายที่ร้านของท่าน ๖ กิโลกรัม เดี๋ยวจะมาเอา ท่านก็เอาน้ำตาล ๖ กิโลกรัมใส่ถุงไว้ให้เขา (แต่ ๖ กิโลกรัมใส่ถุงเดียว)
พอเขากลับมาเอาน้ำตาล เขาก็บอกว่า ๖ กิโลกรัมนั้น ฉันต้องการแบ่งเป็น ๖ ถุง ๆ ละ ๑ กิโลกรัม ท่านก็รู้สึกไม่พอใจ จิตไปโทษลูกค้าว่าสั่งของไม่บอกให้ละเอียด แต่ก็นิ่งไว้ เพราะการค้าขายต้องเอาใจลูกค้าเป็นธรรมดา เมื่อตื่นขึ้นมาก็เอาความฝันมาพิจารณาเป็นธรรม แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก สมเด็จองค์ปัจจุบัน ก็ทรงพระเมตตาตามมาสอนให้ มีความสำคัญดังนี้
๑. จักทำกรรมฐานให้ได้ผลนั้น ต้องทำตามอารมณ์ของจิต และต้องแยกดูกามฉันทะ และปฏิฆะ ว่าเกิดขึ้นด้วยสาเหตุอันใดให้ละเอียด อย่าทำกรรมฐานทวนจริตจักไม่ได้ผล
๒. ตามที่คุณหมอกล่าวถึงท่านสัมภะเกสีสอนว่า อย่าให้อารมณ์มันหลอกเรา เราต้องหลอกอารมณ์นั้น มันก็ถูก แต่จักให้ถูกจริง ๆ แล้ว ตัวเราต้องหมั่นรู้เท่าทันอารมณ์ในขณะจิตนั้นด้วย เหมือนอุปมาธรรมชาวโลก รู้ลูกค้าต้องการซื้อสินค้าประเภทนั้นอยู่ แต่จักต้องรู้ความต้องการใช้สินค้า ครั้งละเท่าไหร่ของลูกค้าไปด้วยโดยละเอียด จึงจักขายสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้า
๓. ทางโลก การค้าขายต้องตามใจลูกค้าผู้ซื้อฉันใด ทางธรรมการปฏิบัติก็เช่นกัน กามฉันทะและปฏิฆะเข้ามาในจิต เจ้ารู้อยู่ว่ากามฉันทะและปฏิฆะ แต่จักต้องรู้ต่อไปว่า สาเหตุที่เกิดกามฉันทะและปฏิฆะนั้นเพราะเหตุใด เกิดขึ้นมากน้อยเท่าไหร่ก็ต้องรู้ ศึกษาแยกแยะอารมณ์ ๒ (พอใจกับไม่พอใจ) กล่าวคือศึกษาจริต ๖ ที่เกิดขึ้นกับอารมณ์จิต โดยรู้เท่าทันในแรงหรือในกำลังจริต ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น (โกรธมากหรือน้อย พอใจมากหรือน้อย) แล้วใช้กำลังกรรมฐานเข้าแก้จริต ๖ ไปตามกำลังของจริตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจึงจักได้ผล
|