ไม่รู้ว่าพื้นฐานการสวดมนต์อยู่ทุกวันเป็นการสร้างสมาธิ เมื่อมีพื้นฐานสมาธิ ทำให้กำหนดจดจำหนังสือได้ง่าย กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นคนเรียนเก่ง อยู่ไม่ทันจะถึง ๑ เทอม ซึ่งสมัยนั้นเรียนกัน ๓ เทอม ก็คือ เทอมต้น เทอมกลาง แล้วก็เทอมปลาย ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เรียนกันสองเทอม เพื่อน ๆ ก็รู้ว่าเรียนเก่งขนาดคนเก่าที่เรียนมาเป็นสิบปียังไล่ไม่ทัน..!
บรรดา "เจ้าพ่อโรงเรียน" "เจ้าแม่โรงเรียน" ก็เลยต้องมาอาศัย ว่าอยากจะสอบผ่านเสียที ให้ช่วยกันบ้าง จึงเปิดโอกาสให้กระผม/อาตมภาพยื่นเงื่อนไขได้ว่า "ห้ามเกเร ถ้าสั่งอะไรแล้วไม่เชื่อฟังก็จะไม่ช่วย..!" จึงเป็นที่เหลือเชื่อว่าสามารถคุมเพื่อนตัวโต ๆ ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ทั้งหมด พอเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ก็กลายเป็นประธานนักเรียน คราวนี้คุมเพื่อนทั้งโรงเรียน..!
การเรียนสมัยแรก ๆ นั้นยังหยุดวันโกน - วันพระ พอวันโกนก็หยุดครึ่งวัน เรียนแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายครูบาอาจารย์จะพาไปวัด ซึ่งก็อยู่ติดกับโรงเรียนนั่นแหละ เพราะว่าเป็นพื้นที่เดียวกัน การตั้งโรงเรียนสมัยก่อนอาศัยวัดเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น ไปช่วยกันทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูวัด ล้างถ้วยล้างจาน ล้างปิ่นโตคว่ำเอาไว้ สำหรับผู้ที่จะมาทำบุญในวันรุ่งขึ้นก็คือวันพระได้ใช้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นวันหยุดที่เข้ากับบริบทสังคมได้ดีมาก แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพมาอยู่ทองผาภูมิปีแรก คือปี ๒๕๓๒ อยู่ทองผาภูมิเกือบ ๑๐ ปี พี่น้องมอญพม่าที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้ก็ยังหยุดวันโกน - วันพระกันอยู่เลย
แต่ว่าพอเรียนชั้นประถมปีที่ ๒ เทอมกลาง ทางราชการประกาศให้ใช้วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์แทนเพื่อให้เป็นสากล กระผม/อาตมภาพรู้แต่วันขึ้นแรม รู้แต่ว่าถึงเวลาวันโกนจะได้หยุดครึ่งวัน วันพระจะได้หยุดเต็มวัน ไม่รู้ว่าวันเสาร์วันอาทิตย์หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ได้พี่สาว ก็คือป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ที่พวกท่านเรียกกัน พาไปดูปฏิทิน
สมัยก่อนปฏิทินนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปดารา แล้วก็มีแผ่นวันที่ โตสักครึ่งฝ่ามือของกระผม/อาตมภาพนี่แหละ ๓๖๕ แผ่นบ้าง ๓๖๖ แผ่นบ้าง ก็จะมีวันที่ มีวันขึ้น - แรม มีวัน เสาร์ - อาทิตย์ บอกกล่าวอยู่ในแผ่นนั้น พี่เขาก็ใช้วิธีง่าย ๆ เปิดให้ดู บอกว่า "นี่..ใบสีแดงนี่คือวันอาทิตย์" ซึ่งต้องบอกว่าคนทำปฏิทินเก่งมาก ก็คือพอครบ ๗ วัน วันที่ ๗ ก็จะเป็นกระดาษสีแดง ในเมื่อสีแดงเป็นวันอาทิตย์ ก่อนสีแดง ๑ วันก็คือวันเสาร์ ให้จำเอาไว้ เป็นวิธีสอนแบบเด็ก ๆ ที่ง่ายดีเหมือนกัน
แล้วปฏิทินสมัยก่อนก็ไม่มีการทิ้งการขว้าง เพราะว่าตัวแผ่นปฏิทินที่เป็นรูปดารา ส่วนใหญ่ก็โดนเอาไปทำปกสมุดหนังสือ เพราะว่าเป็นกระดาษแข็ง สามารถเก็บรักษาสมุดหรือหนังสือ ถนอมไว้ได้นาน เนื่องจากสมัยนั้นหนังสือจะส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น รุ่นพี่เรียนต้องทะนุถนอมให้ดี ส่งต่อให้รุ่นน้องได้เรียนต่อไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 01:48
|