หลวงปู่พระวังคีสเถระก็ยอมให้ทดลองวิชาต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่ายมนต์เคาะกะโหลกใบแรก บอกว่าตกนรก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรองว่าถูกต้อง
ร่ายมนต์เคาะกะโหลกที่สอง บอกว่าไปเกิดเป็นเทวดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รับรองว่าถูกต้อง
ร่ายมนต์เคาะกะโหลกที่สาม บอกว่าไปเกิดเป็นพรหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าถูกต้อง
พอร่ายมนต์ เคาะกะโหลกที่สี่..แป้ก..เงียบ..! เกินความรู้ตัวเอง บอกว่าไม่สามารถที่จะพยากรณ์ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "แต่ตถาคตรู้ว่าบุคคลนี้ตายแล้วไปไหน ?" วังคีสพราหมณ์จึงขอศึกษาวิชาด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พุทธมนต์นี้จะสอนเฉพาะพวกเดียวกัน" วังคีสพราหมณ์จึงขอบวช
พระพุทธเจ้ามอบอาการ ๓๒ ให้ไปสาธยาย ด้วยความที่ท่านมีศีล มีสมาธิ ในเบื้องต้นอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว สาธยายอาการ ๓๒ ไม่นาน ปัญญาก็เกิด ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ยึดเกาะไปก็มีแต่ความทุกข์ เพราะว่าท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไปหมด จิตจึงปลดจากการยึดเกาะทั้งปวง กลายเป็นพระอรหันต์ คราวนี้รู้แล้วว่าบุคคลผู้นั้นตายแล้วไปไหน ? แต่ไม่คิดจะสึกแล้ว เพราะว่าเรียนพุทธมนต์จบแล้ว มีใครเห็นหลวงปู่พระวังคีสเถระแบกเดรัจฉานวิชาติดไปบ้าง ?
ดังนั้น..ปัจจุบันนี้บุคคลที่อวดตัวว่าเป็นผู้รู้มีมาก แต่ไอ้ที่รู้จริงนั้นมีน้อย ก็เลยทำให้ญาติโยมทั้งหลายสับสนในชีวิตไปตาม ๆ กันคนทั้งหลายเหล่านี้กำลังสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเอง เนื่องเพราะว่าไปคัดค้านสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน หรือว่าไปคัดค้านหลักการที่โบราณาจารย์ท่านวางเอาไว้ เพื่อโยงจิตคนให้เข้าสู่มรรคสู่ผลได้ สำหรับคติคือที่ไปของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็คงต้องไปรบกวนหลวงปู่พระวังคีสเคาะกะโหลกให้ กระผม/อาตมภาพไม่น่าที่จะบอกได้ถูกต้อง..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2025 เมื่อ 02:17
|