กว่าที่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ของเราจะจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนในแต่ละปี ล้วนแล้วแต่ต้องลงทุนไปมาก ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพที่เลี้ยงดูสามเณรวันละ ๑๐๐ กว่ารูป มีรายจ่ายวันหนึ่งประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ก็คือข้าวปลาอาหาร ๒ มื้อ ตลอดจนน้ำปานะ แล้วไหนยังมีรายจ่ายจิปาถะอื่น ๆ อีก กว่าจะจบโครงการบางทีก็หมดไป ๒ - ๓ แสนบาท เป็นต้น
เราต้องลงทุนมากขนาดนี้เพื่อที่จะพยายามทำให้เยาวชนของชาติเป็นคนดี รู้จักว่าอะไรคือศีล อะไรคือธรรม อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว เมื่อชี้แจงชัดเจนแล้ว เขาก็ต้องเลือกเอาเองว่าตนเองปรารถนาในสิ่งใด อยากจะเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่และครอบครัว ก็เพียรพยายามทำความดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อยากที่จะเป็นความทุกข์หนักของครอบครัว ก็ไม่ต้องสนใจการเรียน ติดเกม ติดสิ่งเสพติด..!
เรื่องพวกนี้เขาต้องเป็นคนเลือกเอง แต่บุคคลที่จะเลือกได้นั้น อันดับแรกเลย ต้องมีปัญญา เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญา ขาดสัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ประการที่สอง ต้องมีสมาธิ ที่เราให้สามเณรมีการเจริญกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ ตลอดจนกระทั่งปฏิบัติธรรมกันเกือบตลอดทั้งโครงการ เพื่อสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อมีสมาธิเข้มแข็งพอ จะได้รู้จักระงับยับยั้งไม่ไปกระทำในสิ่งที่ชั่ว แล้วก็ยังต้องมีศีล ก็คือข้อห้ามต่าง ๆ ที่จะช่วยตีกรอบให้รู้ตัวว่าตนเองกำลังจะล้ำเส้นแล้ว เหล่านี้เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในแต่ละปี ในแต่ละวัด พระภิกษุหรือคณะสงฆ์ของเราต้องลงทุนลงแรงไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวัดท่าขนุนนั้น ถ้าหากว่าผู้ที่ผ่านโครงการไปก็จะได้รับทุนการศึกษาอีกรูปละ ๒,๐๐๐ บาท ในเมื่อผ่านโครงการไป ๙๑ รูป ปีนี้วัดท่าขนุนจ่ายเฉพาะทุนการศึกษาของผู้บรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ก็อยู่ที่ ๑๘๒,๐๐๐ บาท..!
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทางรัฐบาลหรือว่าส่วนราชการไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คณะสงฆ์เราทำเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่กระผม/อาตมภาพสงสัยว่า ทำไมส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น้อยนักที่จะยื่นมือเข้ามาร่วมโครงการด้วย ในเมื่อท่านทั้งหลายสามารถที่จะเอาไปเป็นผลงานของตนเองได้เลย ต่อให้ไม่มีส่วนร่วมมากมาย เข้ามาร่วมถวายผ้าไตรจีวรสักชุด หรือว่าเงินร่วมการบรรพชาอุปสมบทสัก ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาท ผลงานทั้งโครงการท่านก็สามารถอ้างได้ว่าท่านมีส่วนร่วมด้วยอยู่แล้ว
หรือว่าการกระทำสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของบรรดาข้าราชการและนักการเมืองเลย เนื่องเพราะว่าทำไปแล้วก็ไม่มี "เงินทอน" ให้ ทำไปแล้วก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลอะไรกับตนเอง มีแต่จะสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม ทำให้เกิดความสุขความสงบ ทำให้ผู้คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วท่านทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะปกครองได้ ?!
หรือว่าในเมื่อคนทั้งหลายมีปัญญา มีสมาธิ รู้จักระงับยับยั้ง ไม่ไปกระทำสิ่งชั่วที่ท่านทั้งหลายพยายามยัดเยียดให้ ท่านก็เลยไม่สนใจที่จะมาร่วมโครงการ ? เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพคิดฟุ้งซ่านไปคนเดียว ท่านอาจจะติดงานสำคัญอื่น ๆ ที่สำคัญมากกว่าการเสริมสร้างเยาวชนอันเป็นรากฐานของประเทศชาติอยู่ก็ได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2025 เมื่อ 01:36
|