ยิ่งอยู่นานไป เรายิ่งต้องเป็นแบบอย่างแก่รุ่นหลัง แล้วถ้าแบบอย่างบิด ๆ เบี้ยว ๆ เสียตั้งแต่แรก จะไปหวังให้รุ่นหลังได้ดีนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องยึดหลักที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คือตรงไปตรงมา ไม่มีหน้าไม่มีหลัง จึงจะสมกับเป็นผู้ที่บวชมาเพื่อละกิเลส
อยากจะเก่ง อยากจะมีความสามารถ แต่ความเพียรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แล้วจะไปสำเร็จอย่างที่ตนเองต้องการนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ กระผม/อาตมภาพเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า ต่อให้ลูกศิษย์เก่งแค่ไหนก็ตาม เมื่อรับการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ อย่างเก่งก็ได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วพอตนเองนำไปถ่ายทอดต่อ ลูกศิษย์ก็รับไปได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของที่เราได้มา ก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อย สามรุ่นผ่านไปก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว วิชาการความรู้ต่าง ๆ แทบจะไม่เหลือหลักเกณฑ์อะไรที่มั่นคงเลย..!
ดังนั้น..ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องใช้ความเพียรพยายามเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ครูบาอาจารย์สอนมา เราอยากได้ครบ ๑๐๐ ถ้วนก็ต้องขยัน ใช้ความเพียรไป ๑๕๐ หรือ ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะไปหวังว่ามีความรู้ความสามารถเท่าครูบาอาจารย์ที่เราเคารพเลื่อมใสนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้..!
จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะระมัดระวังให้มากกว่านี้ สิ่งที่เราคิด คำที่เราพูด การกระทำของเราทั้งหมดจะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างชัดเจน ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ โอกาสที่จะเอาดีย่อมไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับพวกเราได้เลย
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2025 เมื่อ 03:11
|