จนกระทั่งท่านอาจารย์ ซึ่งตอนนั้นคือ ดร.สุรพล สุยะพรหม ผู้อำนวยการหลักสูตรประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ต้องขึ้นไปพูดถึงข้อดีต่าง ๆ ของการเพิ่มวุฒิการศึกษา "ก็เพื่อให้พระสังฆาธิการระดับบริหาร ก็คือเจ้าคณะตำบลขึ้นไป ได้มีโอกาสร่ำเรียนในส่วนที่สูงขึ้น แนวความคิดในการบริหารจะได้กว้างไกลขึ้น
ส่วนการที่ท่าน (กระผม/อาตมภาพ) ยึดหลักพระธรรมวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อนำเอาพระธรรมวินัยมาประสานกับความรู้สมัยใหม่ เราก็จะช่วยให้การบริหารกิจการคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี และทันสมัย ทันโลก ทันเหตุการณ์" ลงจากเวทีมา ยังมีคนแอบกระซิบว่า "ทำไมไม่แจกนวมให้เขาไปชกกันหลังห้องให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ?!" กระผม/อาตมภาพก็ยังบอกว่า "ถ้าชกกันผมก็ไม่แพ้หรอก..!" เล่นเอาทุกคนตีหน้าประหลาดไปตาม ๆ กัน
พอมาเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก จากการที่ได้ "ทุบ" ท่านอาจารย์ไปตั้งแต่ตอนนั้น ท่านอาจารย์ก็ "ทุบ" คืนแบบไม่เลี้ยงเหมือนกัน แต่กระผม/อาตมภาพเป็น "เด็กสู้ครู" พูดง่าย ๆ ก็คือหาเหตุผลมาหักล้างท่านอาจารย์ได้ทุกชั่วโมง ดีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำให้อาจารย์ทุกท่านต้องเตรียมการสอนมาอย่างดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าลูกศิษย์คนนี้จะถามอะไรบ้าง ?!
ครั้นเมื่อถึงเวลาสอบวิทยานิพนธ์ กระผม/อาตมภาพก็สู้ครูอีกตามเคย ก็คือปริญญาโทบุกไปหาท่านอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แก้วิทยานิพนธ์ชนิดแก้ยับแก้เยินมา รวมทั้งหมด ๑๘ ครั้ง จนกระทั่งอาจารย์ไม่มีที่จะให้แก้ไขแล้ว ดังนั้น..เวลาสอบ เพื่อนฝูงโดนกันคนละ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง กระผม/อาตมภาพโดนไม่ถึง ๑๕ นาที จบปริญญาโทมาแบบสวย ๆ เลย..!
ครั้นปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพสู้ครูหนักกว่านั้นอีก นัดท่านอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง..! ตลอดระยะเวลาทำวิทยานิพนธ์ พูดง่าย ๆ ว่าบางทีก็ต้องไปกินไปนอนอยู่ที่กุฏิอาจารย์บางท่าน หรือว่าตามถึงบ้านอาจารย์ฆราวาสหลายท่าน จนกระทั่งเวลาสอบ ท่านอาจารย์ตอนนั้นเป็น ผศ., ดร. สุรพล สุยะพรหมแล้ว นั่งเงียบอย่างเดียว จนประธานกรรมการคุมสอบถามว่า "ท่านอาจารย์สุรพล ปกติถามมากที่สุด วันนี้ไม่คิดจะถามอะไรหรือ ?" ท่านอาจารย์ตอบว่า "กระผมถามมาทุกอาทิตย์จนไม่มีให้ถามแล้วครับ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2025 เมื่อ 01:50
|