เมื่อชมและถ่ายรูปจนครบแล้ว พวกเราก็ออกจากพิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว ข้ามถนนไปยังวัดศรีสะเกษ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในสมัยก่อนนั้น วังเจ้ามหาชีวิตก็อยู่ในบริเวณเดียวกับหอพระแก้วนั่นเอง ทางด้านศีรษะหรือว่า "หัวนอน" จะหันมาทางวัดศรีสะเกษ และเป็นสถานที่ซึ่งมาสรงสนานสระเกศากันที่นี่
บริเวณนี้ก็เช่นกัน ก็คือห้ามถ่ายรูปภายในวิหาร แต่รอบข้างที่มีพระเก่า ๆ ประดิษฐานอยู่เป็นร้อย ๆ องค์เขากลับไม่ห้าม..! ในโบสถ์นั้นจะมีช่องเล็ก ๆ ที่บรรจุพระพุทธรูปเอาไว้มากมาย ถ้าหากว่าจะตั้งใจนับกันจริง ๆ ก็คงจะหลายพันองค์
พวกเราเดินชมจนชื่นใจแล้ว ไปถึงทางด้านหลังก็เห็นของดี คือฮางฮด คำว่า "ฮางฮด" ในที่นี้ก็คือรางสำหรับสรงน้ำพระ แกะเป็นรูปพญานาค สวยงามมาก ๆ และเก่าแก่สุด ๆ ผู้ร่วมคณะของเราบอกว่า ทางด้านหลังอุโบสถวัดศรีสะเกษมีอีกรางหนึ่ง กระผม/อาตมภาพแค่เหลือบตามองก็บอกว่า "ของใหม่" ที่เก่าจริง ๆ ก็คือที่กำลังชมอยู่นี่ เนื่องเพราะว่าไม้นั้นเปื่อยผุจนกระทั่งแทบจะกร่อนร่วงเป็นฝุ่นไปอยู่แล้ว..!
ครั้นพวกเราออกจากวัดศรีสะเกษแล้ว ก็ตรงไปยังสถานที่ต่อไป ก็คือวัดศรีเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลักเมืองนครเวียงจันทน์ แล้วยังมีอนุสาวรีย์นางศรีเมือง ซึ่งสละชีพสำหรับก่อตั้งหลักเมืองเวียงจันทน์ตามความเชื่อของคนโบราณอีกด้วย พวกเรากราบพระ สักการะศาลหลักเมือง ตลอดจนกระทั่งหลายท่านก็ไปไหว้ขอบคุณนางศรีเมือง ที่สละชีพเพื่อนครเวียงจันทน์แห่งนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นรถ บางคนก็ทำท่าเหมือนจะหมดสภาพ เพราะว่าง่วงนอนมาก..!
ทางคณะทัวร์จึงพาพวกเราไปยังภัตตาคารภัตตาคาร "แคมของ" ก็คือริมแม่น้ำโขง เพื่อให้พระฉันเพล และพวกเราทั้งหลายได้กินอาหารกลางวัน จากนั้นจะได้เดินทางไปตามตารางที่กำหนด แล้วเข้าสู่ที่พักแต่โดยเร็ว เพราะเห็นทำท่าไร้แรงบินกันแล้ว
อาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ถือว่าอร่อยทีเดียว แต่เนื่องจากว่าทำแบบเอาใจคนไทยสุด ๆ ก็คือแกงป่าก็ออกมาแบบไทย ไข่เจียวก็ออกมาแบบไทย แม้แต่ต้มยำปลาแม่น้ำโขงก็ออกมาแบบไทย ทำให้กระผม/อาตมภาพบอกกับนางไก่ว่า "บ่แซ่บ..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2025 เมื่อ 18:37
|