พวกเราเองก็ไม่ได้อยากได้เพื่อนที่พาเราออกนอกลู่นอกทาง ในเมื่อเขาว่าเราบ้า ไม่มายุ่งกับเราก็จบ เราก็ไม่ยุ่งกับเขาเหมือนกัน เรื่องของการปฏิบัติธรรม เราจะอยู่กับสังคมได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัตินั้นได้ผลไปแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งจะเหมือนกับคนกะล่อน ก็คือเอ็งมาท่าไหนข้าไปด้วยได้หมด บ้าอะไรบ้าตามกัน แต่ถ้าจะหลุดกรอบของศีลเมื่อไรข้าไม่ไปด้วย..!
สังเกตคนประเภทนี้ได้เลย จะชวนทำอะไรทำด้วยหมด แต่ถ้าจะผิดศีลเมื่อไร เชิญไปทำคนเดียวเถอะ เขาจะติดธุระทันทีเลย ก็คือเขาเอาสังคมเพื่อปิดบังตัวเองไม่ให้เกิดโทษกับคนอื่น พอถึงเวลาชวนเขากินข้าวเย็น เขาไม่บอกเราหรอกว่า "ไม่กินหรอก ถือศีลแปดอยู่" เขาอาจจะบอกว่า "หมอสั่งให้ลดความอ้วน พี่ไปกินคนเดียวเถอะ" ก็เข้ากับยุคสมัยได้..ใช่ไหม ?
หรือไม่ก็บอกว่า "รู้สึกมีห่วงยางเป็นของส่วนตัวแล้ว ขออดข้าวเย็นหน่อยแล้วกัน" ใครเขาจะไปบอกว่ารักษาศีลแปด เดี๋ยวก็โดนมองหัวถึงตีน หรือเราโกหกไม่ได้ ? เราเป็นผู้รักษาศีล เราต้องตรงไปตรงมา แบบนั้นก็โง่เกิน เรียกว่า "เถรตรง" ตรงเกินไป ไม่รู้จักเลี้ยว ชนอะไรหัวร้างคางแตกก็ปล่อยไป..!
เมื่อถึงระดับนั้นก็แปลว่าศีลกับตัวเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขยับเมื่อไรก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ไปแค่สุดขอบของศีล แล้วก็เลี้ยวกลับ ลักษณะเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน กลิ้งไปเถอะ..ไม่ติดบนใบบอนหรอก..!
เราจะมีศีลเป็นเกราะ เป็นเครื่องกำบัง ไม่ให้เราตกไปอยู่ในที่ต่ำ ซึ่งก็คืออบายภูมิ มีสมาธิเป็นตัวระงับยับยั้งไม่ให้เราละเมิดศีล อย่าลืมว่ากิเลสยั่วเราทุกอย่าง อะไรที่เราอยากได้จะเอามาล่อเราหมด ก็สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราห้ามตัวเองได้ไหม ? ถ้าเราอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ละเมิดศีลนี่อานิสงส์ไม่มีนะ ศีลจะเป็นศีลก็ต่อเมื่อเราหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ละเมิดได้ จนกว่าจะพ้นจากระดับนั้นไป ก็คือศีลเป็นเรา..เราเป็นศีล ตอนแรกเรารักษาศีล พอถึงตอนนี้ศีลจะรักษาเรา..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2025 เมื่อ 00:54
|