ดังนั้น..ในแต่ละวันลืมตาตื่นขึ้นมาใจเราต้องเกาะพระไว้ก่อน เพราะว่ากำลังใจของเราเหมือนเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าความดีเข้าไปนั่งไว้ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ แต่ถ้าความชั่วเข้าไปก่อน ความดีก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้เราจึงต้องตื่นก่อนกิเลส บางคนสงสัยว่าทำไมต้องเจริญกรรมฐานกันตั้งแต่ตีสาม ? ถ้าเราไม่ตื่นก่อนกิเลส ปล่อยให้กิเลสตื่นก่อน เราก็จะฟุ้งซ่านกันนาน กว่าจะรักษากำลังใจให้ผ่องใสได้อีกที ประเภทฟุ้งหนัก ๆ เอาไม่อยู่ บางทีก็ข้ามเดือนเลยก็มี..!
คราวนี้พอจิตของเรามีสภาพจำ ลืมตาตื่นขึ้นมานึกถึงพระ ลืมตาตื่นขึ้นมาภาวนา ทำบ่อย ๆ จนเคยชิน ถึงเวลาจิตของเราก็จะวิ่งเข้าหาการภาวนาหรือภาพพระโดยอัตโนมัติ
เพียงแต่ว่าพวกเราอย่าเข้าใจผิดว่าภาพพระนั้นคือตาเห็น เพราะว่าเป็นใจเห็น ไม่ใช่ตาเห็น เราหลับตาลงนึกถึงเพื่อน นึกถึงข้าวของที่เคยหยิบ เคยใช้ จะรู้สึกว่าชัดเจนมาก ถามว่าหลับตาอยู่แล้วเห็นได้อย่างไร ? นั่นคือใจเห็น แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราจดจำได้ด้วยอุปาทานเก่า ๆ ด้วย
ในเรื่องของการฝึกฝนฌานสมาบัติไปถึงระดับหนึ่ง พอสภาพจิตเริ่มสงบสงัด ความเป็นทิพย์จะเริ่มปรากฏ ก็จะเห็นโน่น เห็นนี่ เห็นนั่นไปเรื่อย แล้วก็เสียหายหนักกันตรงนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่พอรู้เห็นแล้วจัดการไม่ถูก
เมื่อความเป็นทิพย์ปรากฏ อะไรอยากจะมาก็มาเถิด เราไม่ใส่ใจ เราก็อยู่กับองค์ภาวนา อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราต่อไป แต่ก็เหมือนกับแกล้ง ยิ่งไม่สนใจยิ่งชัดมาก ประมาณว่ายั่วให้อยาก..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2025 เมื่อ 03:01
|