ในเมื่อทำบุญให้กับโยมพ่อโยมแม่ ก็ต้องนิมนต์เพื่อนพระที่มั่นใจในวัตรปฏิบัติของท่านว่า เป็นบุคคลที่เคร่งครัดต่อหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้มีเนื้อนาบุญในการร่วมบุญร่วมกุศลในครั้งนี้ด้วยกัน
เพียงแต่ว่าตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด ทางราชการก็กดดัน ไม่ยอมให้มีการจัดงานซึ่งรวมคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในตอนนั้นคำสั่งที่ออกมานั้น เรียกง่าย ๆ ว่า "เป็นการตัดตอนพระพุทธศาสนาของเรา" ก็ว่าได้ เนื่องเพราะว่างานรื่นเริงของชาวบ้าน อนุญาตให้มีคนร่วมงานไม่เกิน ๒๐๐ คน แต่งานทำบุญในวัด อนุญาตให้มีคนร่วมงานไม่เกิน ๒๐ คน ซึ่งต่างกันเป็น ๑๐ เท่า..!
ในเมื่ออนุญาตและสามารถที่จะดูแลคนจำนวน ๒๐๐ คนได้ แล้วทำไมไม่อนุญาตให้วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมชาวบ้านจัดงานที่มีคนไม่มากเกิน ๒๐๐ คนไปด้วย ? กระผม/อาตมภาพตอนนั้นก็ยังบ่นว่า "สงสัยว่าผู้ออกคำสั่งไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าข้างซ้ายคิด ก็เลยออกคำสั่งมาในลักษณะอย่างนี้..!"
เมื่อเว้นจากการจัดงานเพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดไป ๓ ปี บวกกับ ๒ ปีให้หลังที่กระผม/อาตมภาพกลายเป็นคณะกรรมการในการตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบของหนกลาง ในแต่ละปีต้องวิ่งถึง ๒๓ จังหวัด และอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมต่อกันยายนของทุกปีเสียด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานวันแม่ก็จัดไม่ได้ อย่างในปี ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา กำหนดการตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบก็คือ ก็คือวันที่ ๑๐ - ๑๑ - ๑๒ - ๑๓ กันยายน แล้วกระผม/อาตมภาพจะจัดงานวันบูรพาจารย์ในวันที่ ๑๔ กันยายนได้อย่างไร ? เหล่านี้เป็นต้น
ในเมื่องานวันแม่ก็จัดไม่ได้ งานวันบูรพาจารย์ก็จัดไม่ได้ จึงได้ห่างเหินจากเพื่อนฝูงกันไปพักใหญ่ จนกระทั่งได้เจอหน้ากันตามงานประชุม หรือว่างานคณะสงฆ์ต่าง ๆ ก็ได้แต่ถามกันว่า "เมื่อไรจะตาย ?" ซึ่งท่านอาจารย์นนท์ก็หัวเราะให้ทุกครั้งไป เนื่องเพราะว่าท่านเองมีโรคมะเร็งกินมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2025 เมื่อ 02:39
|