เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยถือว่าเป็นแหล่งเกิด เป็นแหล่งความรู้ที่กระผม/อาตมภาพได้ศึกษามาถึง ๑๐ ปี เท่านั้นยังไม่พอ ยังออกมาสอนลูกศิษย์อีก ๑๐ กว่าปี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าชีวิตส่วนหนึ่งกลายเป็น มจร. คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แบบเข้าเลือดเข้าเนื้อไปแล้ว
ดังนั้น..ถึงต้องใช้เวลา ๕ ชั่วโมงในการวิ่งไปยังมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวังน้อยก็ดี หรือใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมงในการวิ่งไปวัดปากน้ำภาษีเจริญก็ตาม กระผม/อาตมภาพเองนั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นทางไกล โดยเฉพาะมีพลขับก็คือน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งถือหน้าที่ในลักษณะเดียวกัน ก็คือถ้าหากว่าทำหน้าที่อะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด ยังเคยปรารภกันว่า "พวกเราเหมือนม้าอาชาไนย อย่างไรเสียก็คงจะตายในสนามรบ ไม่มีโอกาสที่จะอยู่เสวยสุขสบาย ๆ กับใคร" เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างนี้มานั่นเอง
เมื่อทำการนั่งปรกอธิษฐานจิตคุมธาตุ หล่อพระประธานให้กับพระครูกาญจนสิทธิคุณเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางเข้าสู่วัดอุทยาน เพื่อที่จะไปร่วมงานในจังหวัดสุพรรณบุรีในวันพรุ่งนี้ต่อไป ระหว่างทางจึงได้ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้เอาไว้ก่อน
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2025 เมื่อ 03:18
|