เนื่องเพราะว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนหรือว่าฆ่าสัตว์ในอดีตชาติ ตามมาสนองในปัจจุบันนี้ ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นแค่เศษกรรมเท่านั้น เนื่องเพราะว่าเราชดใช้กรรมหลักมาแล้วในอบายภูมิ ตราบใดที่เรายังมีกายสังขารอยู่ เศษกรรมเหล่านี้ก็จะตามเบียดเบียนไปเรื่อย
ดังนั้น..บุคคลที่เคยทำปาณาติบาตเอาไว้มาก ก็อายุสั้นพลันตาย บางคนยังไม่ทันออกจากท้องแม่ก็ตายไปแล้ว
บุคคลที่ทำปาณาติบาตไว้ปานกลาง ก็เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ผ่าตัดเหมือนกับเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ แต่ว่าจะเปลี่ยนเครื่องเคราขนาดไหนก็ตาม การเจ็บป่วยอื่น ๆ ก็ยังปรากฏมาอยู่เสมอ
บุคคลที่สร้างปาณาติบาตเอาไว้น้อย ก็เจ็บโน่นป่วยนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อย เป็นเรื่องที่เราทำเราก็ต้องรับ ไปปรึกษาผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ยกเว้นบุคคลที่กำลังใจใกล้เคียงกัน
ดังนั้น..ท่านที่คิดจะมาปรึกษากระผม/อาตมาภาพ ส่วนใหญ่พอเห็นว่าหลวงพ่อป่วยหนักมา ๔๐ กว่าปีก็คงจะหมดอารมณ์ไปเลย เพราะว่าตนเองยังไม่ได้ป่วยมานานขนาดนั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือวันนี้กระผม/อาตมาภาพไปเป็นประธานในการฌาปนกิจศพนายพนา หวลประไพ ซึ่งเป็นลูกของคุณยายล้วน หวลประไพ ได้เสียชีวิตลงด้วยอายุ ๖๕ ปี ในเรื่องนี้ไม่ขอกล่าวถึง แต่ที่จะกล่าวถึงก็คือพระผู้แสดงพระธรรมเทศนาหน้าศพนั้น ด้วยความที่ว่าเป็นพระใหม่ ขาดการฝึกฝน จึงมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ขาด ๆ เกิน ๆ อยู่บ้าง
ในเรื่องของการเป็นนักเทศน์นั้น เราจะเป็น "ศิษย์มีครู" หรือว่าศิษย์ไม่มีครู แค่มองตอนเดินเข้ามาในสถานที่ คนซึ่งมีประสบการณ์ก็จะรู้แล้ว บรรดา "ศิษย์มีครู" ที่ได้รับการอบรมมา อันดับแรกเลย ถ้าถือย่ามก็จะรวบหูย่าม ประการที่สอง ถ้าหากว่าถือคัมภีร์เทศน์และตาลปัตร ก็ยกคัมภีร์เทศน์และตาลปัตรอยู่ในลักษณะกึ่ง ๆ แบกมา เมื่อเข้าไปถึงจัดวางสิ่งของ คัมภีร์เทศน์จะอยู่ทางด้านขวาพร้อมกับย่าม แต่ว่าตาลปัตรจะอยู่ทางด้านซ้าย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-02-2025 เมื่อ 00:24
|