หลายท่านจึงเกิดอาการเหนื่อยล้า พักผ่อนเท่าไรก็รู้สึกว่าไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าท่านได้พักแต่ร่างกายเท่านั้น ในส่วนของจิตใจไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะว่ามีแต่ความฟุ้งซ่านเป็นปกติ เราจึงควรที่จะให้ใจพักผ่อนบ้าง ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ หรือว่าปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างเป็นทางการไปเลย
การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถ้าท่านที่ไม่คล่องตัว เราก็จะได้แต่สมาธิเบื้องต้นเท่านั้น เพราะว่าถ้าเริ่มเป็นอัปปนาสมาธิ บางทีเราก็เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เพราะว่าจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แต่ละวันเราจึงควรหาเวลาในการภาวนาอย่างเป็นทางการ อย่างเช่นว่าหลังตื่นนอนแล้ว ให้ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกสัก ๓๐ นาที ก่อนที่จะนอนถ้าหากว่าร่างกายยังไหว ก็ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกอีกสัก ๓๐ นาที แต่ถ้าไม่ไหวก็ทำเฉพาะช่วงเช้า ส่วนช่วงค่ำ ท่านสามารถที่จะนอนนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วภาวนาให้หลับไปเลย
ถ้าท่านทำในลักษณะอย่างนี้ กำลังใจของตนก็จะเข้มแข็งขึ้นตามกำลังสมาธิที่สูงขึ้น สามารถที่จะบังคับตนเองให้สร้างความดีได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะบังคับตนเองไม่ให้กระทำในสิ่งที่ชั่ว เนื่องเพราะว่าถ้าอาศัยความละอายชั่วกลัวบาปในจิตสำนึกของเราอย่างเดียว บางทีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีกำลังมากกว่า สามารถที่จะชักจูงให้เราไปกระทำความชั่วจนได้ จนบางทีก็ทำให้เรากลายเป็นคนคิดมาก ซึมเศร้าไปเลยก็มี แต่ถ้าท่านทรงสมาธิจิตเอาไว้ได้ กำลังสมาธิที่เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป เราก็จะมีกำลังในการต่อต้านกระแสกิเลส
บุคคลผู้ทรงฌานสมาบัติได้คล่องตัว ในช่วงที่ทรงฌานอยู่นั้น รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ผู้ที่ทรงฌานได้นั้น มารจะมองไม่เห็นเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า มารจะอาศัย รัก โลภ โกรธ หลง ของเรานั่นแหละ ในการส่งเสนามาร คือบริวารของตนแทรกเข้ามา เพื่อที่จะก่อกวนให้พวกเราต้องลำบาก ต้องเดือดร้อน วนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไม่รู้จบ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2025 เมื่อ 02:14
|