ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 02-04-2010, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,638 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของอธิจิตนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราทรงฌานในระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ จะเป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ของรูปฌานก็ดี จะเป็นฌานในอากาสานัญจายตนะ ในวิญญาณัญจายตนะ ในอากิญจัญญายตนะ หรือในเนวสัญญานาสัญญายตนะของอรูปฌานก็ดี ขั้นใดขั้นหนึ่ง ให้ทรงตัวคล่องแคล่ว ต้องการจะเข้าฌานเมื่อไรก็เข้าได้ ถ้าทำดังนี้ได้ ก็เท่ากับว่าท่านได้เจริญในเรื่องของอธิจิต ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้

ในส่วนของอธิปัญญา คือ ปัญญาอันยิ่งนั้น ก็เป็นไปตามลำดับกำลังใจที่ก้าวล่วงไปสู่มรรคผลของเรา ถ้าเป็นกำลังใจของพระโสดาบัน ก็จะมีความรู้สึกว่าเราต้องตายอยู่เสมอ รู้ตัวว่าเราต้องตายอย่างแน่นอน ก็จะกำหนดกำลังใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว กำลังใจของพระสกิทาคามีก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าในเรื่องของรัก โลภ โกรธ บรรเทาเบาบางลงไปมาก

ในกำลังใจของพระอนาคามีนั้น จะเห็นร่างกายนี้มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ไม่มีความยินดี ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของเรา หรือร่างกายของบุคคลอื่น ร่างกายของสัตว์ เป็นต้น เป็นผู้ที่มีความรังเกียจร่างกายอย่างแท้จริง

ส่วนในกำลังใจสุดท้ายนั้น เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง โดยที่กำลังใจมีความเชื่อมั่นเพราะรู้แจ้งเห็นจริงแบบนั้น จึงหนักแน่นไม่คลอนแคลน ไม่เคยเห็นความดีของขันธ์ ๕ ไม่เคยเห็นความดีในโลกนี้ ปรารถนาที่จะหลุดพ้นไปจากร่างกายนี้ ปรารถนาจะหลุดพ้นจากโลกนี้โดยส่วนเดียว ถ้าอย่างนี้จะเป็นกำลังใจสูงสุด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงปรารถนาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-04-2010 เมื่อ 22:36
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา