ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 23-12-2024, 23:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,546 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ยังไม่ทันจะทักทายกันทั่วถึง พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมสนามหลวง องค์เลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชก็เดินทางมาถึง ด้วยความที่ยืนรอรับอยู่ตรงทางผ่านพอดี ท่านจึงเมตตาทักทายว่า "หลวงพ่อวัดท่าขนุน" แต่ก็ได้แต่เพียงแค่นั้น เพราะว่าท่านเองยังมีงานต่อ จึงไปนำบูชาพระรัตนตรัย รับการถวายสักการะจากบรรดาตัวแทนเจ้าคณะปกครอง ตลอดจนกระทั่งทางด้านส่วนราชการ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมลงมา แล้วก็เมตตาให้โอวาท โดยเฉพาะกล่าวถึงความก้าวหน้าของทางด้านกองธรรมสนามหลวง ตั้งแต่ท่านรับหน้าที่แม่กองธรรมมา

ในปัจจุบันนี้สำนักศาสนศึกษาของแต่ละวัดที่เปิดการสอนแผนกธรรมก็ดี แผนกบาลีก็ตาม ตลอดจนกระทั่งแผนกปริยัติสามัญ เราได้มี พ.ร.บ. การศึกษาคณะสงฆ์เพิ่มเติมขึ้นมา จึงต้องมีตำแหน่งเจ้าสำนักศาสนศึกษา มีตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ มีตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ มีตำแหน่งอาจารย์ผู้สอน และมีตำแหน่งเลขานุการสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ อย่างเช่นของวัดท่าขนุนก็ตั้งเป็นรูปเป็นร่างและทำงานมาหลายปีแล้ว

ปรากฏว่าทางคณะสงฆ์สามารถผลักดันจนกระทั่งได้งบประมาณสนับสนุนจากทางด้านรัฐบาลมาส่วนหนึ่ง ปีที่แล้วมอบให้เฉพาะอาจารย์ใหญ่ของสำนักศาสนศึกษาแต่ละแห่ง มาปีนี้ได้เพิ่มเติมเป็นของเจ้าสำนักศาสนศึกษา และเลขานุการสำนักศาสนศึกษา คาดว่าปีต่อ ๆ ไปคงของบประมาณเพิ่มขึ้นให้กับครูสอนประจำสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ ไปตามลำดับ

เรื่องพวกนี้แต่เดิมมา แต่ละสำนักศาสนศึกษาก็เกิดจากความเสียสละของเจ้าสำนัก ตลอดจนกระทั่งบรรดาอาจารย์และครูสอนต่าง ๆ ที่นอกจากจะต้องเปลืองเรี่ยวแรงในการสั่งสอนบรรดานักเรียนแล้ว ยังต้องควักงบประมาณหนุนเสริมในการศึกษาด้านต่าง ๆ อีกด้วย อย่างของสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุน ไม่ว่าจะเป็นแผนกบาลีหรือว่าแผนกธรรมก็ตาม แต่ละปีก็หมดไปนับเป็นแสน ๆ บาท..! แต่ว่าทันทีที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนมาจากทางรัฐบาล ก็เริ่มเกิดข้อครหานินทามา ที่ได้ยินแว่ว ๆ มาตอนนี้ก็คือ "เป็นพระรับเงินเดือนได้ด้วยหรือ ?"

ทั้ง ๆ ที่ทางคณะสงฆ์ของเรา ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล มีการถวายนิตยภัต ซึ่งความจริงหมายถึงค่าอาหาร ให้แก่พระสังฆาธิการตลอดจนกระทั่งพระราชาคณะและพระครูสัญญาบัตรต่าง ๆ ซึ่งถวายการรับภารธุระในพระพุทธศาสนา ช่วยดูแลอบรมสั่งสอนกุลบุตรต่าง ๆ ที่เข้าไปบรรพชาอุปสมบท แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญ จึงได้ถวายกำลังใจเป็นปัจจัยสนับสนุนในลักษณะของนิตยภัต ก็คือค่าอาหารที่ถวายให้เป็นประจำ ตั้งแต่สมัยที่ยังรับกันเป็นตำลึง เป็นบาท เป็นสลึง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2024 เมื่อ 23:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา