ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมาจะเป็นญาณ ๘ แต่ความจริงมีแค่ ๗ เพราะว่าทิพจักขุญาณนั้นเป็นตัวแม่ ใช้ดูอดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ ใช้ทิพจักขุญาณดูอนาคตเขาเรียกอนาคตังสญาณ รวมจนกระทั่งหมดแล้วจริง ๆ มีอยู่แค่ ๗ ตัว หรือจะย่อเหลือตัวเดียวคือทิพจักขุญาณนั่นเอง แล้วแต่ว่าเอาไปใช้อย่างไหน
แต่พระพุทธเจ้ามีตั้ง ๑๐ อย่าง โดยเฉพาะอินทริยปโรปริยัตตญาณ รู้อินทรีย์ของบุคคลก็คือความแก่กล้าของสติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละบุคคล ว่ามีมากน้อยเท่าไร แล้วจะประทานหลักธรรมอะไรให้เหมาะสมกับผู้นั้น นี่ถึงจะเป็นสุดยอดพ่อครัว รู้ว่าคนกินหิวอะไร ทำอาหารให้แบบนั้น เพราะฉะนั้น..อาหารจะอร่อยทุกมื้อ กินอิ่มพอดี สังเกตไหมว่าตอนเราหิว อร่อยทุกอย่างเลย แต่ตอนอิ่มแล้วดีแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว..ใช่ไหม ? กินเยอะไปก็แหวะอีกต่างหาก..!
ดังนั้น..ในส่วนของการขัดเกลาตนเอง ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ตาม ส่วนหนึ่งก็คือเพื่อพร้อมที่จะกตเวทิตาต่อพระพุทธศาสนา ก็คือตอบแทนพระพุทธศาสนาที่ให้หลักธรรมอันประเสริฐแก่เรา ทำให้เราสามารถที่จะส่งตนเองจากอบายภูมิ เบื้องต่ำ ๆ เลยคือนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานขึ้นมา ตอนนี้เป็นมนุษย์ เราสามารถส่งตัวขึ้นไปได้สูงกว่านั้นอีก เป็นเทวดา เป็นพรหม จนเข้าสู่พระนิพพานได้
เมื่อพระองค์ท่านประทานหลักธรรมอันสุดวิเศษมาเพื่อให้เราขัดเกลาตนเอง ส่งเสริมตนเอง พัฒนาตนเองขึ้นไป เรามีโอกาสก็กตเวทิตา เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เราเคารพกราบไหว้ท่าน แต่เราเคารพกราบไหว้ท่านเพราะความกตัญญู ก็คือรู้คุณ ก็เลยกตเวทิตา ทำสิ่งดี ๆ ตอบแทนคุณนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2024 เมื่อ 01:39
|