ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกล้วน ๆ ต่อให้เราไม่คิดที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำความดี การกระทำความดีที่เราลงทุนด้วยศีลพระ ๒๒๗ ข้อ หรือว่าศีลเณร ๑๐ ข้อ ถ้าเปรียบการลงทุนของญาติโยมเขาที่มีศีลแค่ ๕ ข้อ สิ่งที่ผู้คนลงทุนด้วยเงิน ๕ ล้านบาท กับ ๑๐ ล้านบาท และ ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าได้กำไรเหมือนกันใครจะได้กำไรมากกว่า ? ก็พระภิกษุสามเณรได้กำไรมากกว่า
กุศลทั้งหลายเหล่านี้ถ้าท่านสึกหาลาเพศไป ก็ย่อมทำให้ทางชีวิตของตนเองสะดวกคล่องตัว เนื่องเพราะว่าการมีบุญก็เหมือนกับการมีเงิน คนมีเงินทำอะไรคล่องตัวไปหมด คนมีบุญก็ทำอะไรคล่องตัวไปหมด แต่เราก็ไม่คิดที่จะทำ ได้แต่อยู่อาศัยพระพุทธศาสนาไปวัน ๆ ไม่ได้หวังที่จะอยู่ให้ศาสนาได้อาศัย แล้วลักษณะแบบนั้น ท่านจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปทำไม ? เพราะมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา
เพียงแต่ว่าการทำความดีนั้นไม่ได้สำคัญที่เวลาน้อยหรือมาก สำคัญที่ว่าทำดีทำถูกหรือเปล่า ? ถ้าทำดี ทำถูก ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าย่อลงมาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็สามารถที่จะได้รับผลดีซึ่งตนเองกระทำไว้ได้ในเวลาอันไม่นาน
จึงเป็นเรื่องที่อยากจะฝากเอาไว้สำหรับทุกท่านว่า ในเมื่อชั่วก็ชั่วมาเต็มที่แล้ว ถึงเวลาจะทำดีก็ทำให้เต็มที่บ้าง ไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนคนมีเวลามาก ตายลงไปเมื่อไร บางทีสิ่งที่เราทำมายังไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าอยู่ในฐานะปูชนียบุคคล มีโอกาสขาดทุนมากกว่าญาติโยมหลายเท่าเช่นกัน ถ้าลงทุน ๒๒๗ ล้านแล้วเจ๊งหมดตัว ก็ถือว่าไร้ฝีมือโดยสิ้นเชิง..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2024 เมื่อ 02:12
|