วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพจำได้ว่าพูดไปหลายครั้งแล้วว่า การสวดมนต์นั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง แต่มีผู้ถามมาในข้อความส่วนตัวว่า มีบุคคลหนึ่งกล่าวว่า เรื่องของการสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น ตนไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ซึ่งตรงนี้ต้องทำความชัดเจนเสียก่อนว่า ในเรื่องของการสวดมนต์นั้นคืออะไร ?
การสวดในพระพุทธศาสนาของเรานั้นมีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือการสวดเพื่อสังฆกรรม อย่างเช่นว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมในกรรมวาจาอุปสมบท หรือว่าการสวดประกาศ ไม่ว่าจะเป็นอปโลกนกรรมก็ดี หรือว่าในเรื่องของการคณะสงฆ์อื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งมีทั้งการสวดญัตติประกาศ ๑ ครั้ง สวดอนุสาวนา ๑ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติทุติยกรรม หรือว่าสวดตั้งญัตติ ๑ ครั้ง ประกาศอนุสาวนาเพื่อขอความเห็นในท่ามกลางสงฆ์ ๓ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติจตุตถกรรม เหล่านี้เป็นในส่วนของสังฆกรรมทั้งหมด
ประการที่ ๒ ก็คือการสวดปริตร ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือการสวดมนต์บ้าน หรือว่าการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณร ซึ่งปริตรนี้มีที่มาชัดเจนในพระไตรปิฎก เรื่องของอายุวัฒนกุมารที่จะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นพ่อปรึกษาใครก็ช่วยไม่ได้ จึงไปปรึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ท่านบอกว่าให้ตั้งปะรำพิธี เอาเด็กไปอยู่ตรงกลาง แล้วนิมนต์พระทำการสวดปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน ซึ่งคำว่าปริตรนั้นแปลตรง ๆ ว่าการป้องกัน งานนั้นก็คือป้องกันไม่ให้ยักษ์มาเอาชีวิต เมื่อพ้น ๗ วันไปแล้ว อีกฝ่ายหมดสิทธิ์ที่ได้รับอนุญาตไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าอายุวัฒนกุมารอายุยืนไปจนถึง ๑๒๐ ปี จึงได้ชื่อว่าอายุวัฒนะ คือผู้เจริญด้วยอายุ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2024 เมื่อ 02:25
|