คำว่า "หลับกับตื่นรู้เท่ากัน" ได้นี่ บางคนเข้าถึงบ้างแล้วแต่ไม่เข้าใจ ก็คือได้ยินเสียงตัวเองกรน คนกรนก็คือคนหลับ..ใช่ไหม ? แล้วทำไมถึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกรนอยู่ ? นั่นก็คือสภาพจิตที่ตื่นกับหลับรับรู้เท่ากัน
หลายคนคิดว่าตัวเองนอนไม่หลับ บังคับตัวเองให้หลับก็ยิ่งไม่หลับใหญ่เลย สภาพจิตแบบนั้นบาลีเขาบอกว่า "พุทโธ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน" ร่างกายนอนอยู่ ร่างกายได้พักเต็มที่แล้ว ถึงขนาดกรนนี่รับประกันว่าหลับลึกแน่นอน แต่สติยังตื่นอยู่
พอถึงเวลามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว สภาพจิตก็จะกรองทันทีเลยว่า ควรจะไปปฏิสัมพันธ์ด้วยไหม ? ถ้าไม่สมควรก็จะนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเอง แต่ถ้าจำเป็นต้องไปปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะคลายจิตออกมาอย่างระมัดระวัง เหมือนหนูที่จะโผล่จากรู ต้องระวังว่าจะโดนแมวตะครุบหรือเปล่า ? เมื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ตามความจำเป็นเสร็จแล้ว ก็รีบกลับเข้าสู่จุดเดิมของตัวเอง
ถ้าสภาพจิตถึงตรงนั้นแล้ว ให้พยายามฝึกหัดซักซ้อมไว้บ่อย ๆ แล้วเราจะรู้ว่า ขนาดตื่นยังต้องสั่งตัวเองให้ตื่นเลย นอนพอแล้ว..ตื่นเถอะ ความรู้สึกก็จะขยายออกไปสู่ปลายมือปลายเท้า พอสติสัมปชัญญะและประสาทร่างกายสมบูรณ์ เอ้า..ลืมตา พลิกตัว ลุกนั่ง เดินไปห้องน้ำ สั่งเป็นขั้น ๆ เหมือนกับนานมาก แต่ในสายตาคนนอกก็คือ เห็นเราพลิกตัวปุ๊บก็เดินอ้าวไปเลย..!
ให้สังเกตอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าบุคคลที่ทำประเภทนี้ได้ เราปลุกตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาไม่มีการงัวเงีย รับรู้ทุกอย่างได้สมบูรณ์เหมือนอย่างกับคนที่ตื่นอยู่ ทำให้ได้นะ เอาแค่เบื้องต้นนี้ก็พอ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2024 เมื่อ 02:04
|