ไปอยู่พม่าดีกว่า ศีลขาดยากกว่าเยอะเลย อยู่เมืองไทยบาทเดียว อยู่ที่โน่นปาไปหมื่นกว่าบาท..! คราวนี้ก็อยู่ที่การตีความกัน แต่อยากจะบอกว่าพม่าเขาตีความศีลเสมอกัน บ้านเราตีความศีลลักลั่นกัน
บ้านเราไม่ฉันอาหารในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่การเข้าบ้านในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนของพม่านี่จะฉันอาหารในเวลาวิกาลหรือเข้าบ้านในเวลาวิกาล เขาก็ตีความว่าหลังพระอาทิตย์ตกดินทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ๔ - ๕ โมงเย็นพระพม่าเดินเข้าร้านอาหารเป็นปกติ เขามีมุมต่างหากให้ด้วยนะ จัดเอาไว้ลักษณะเหมือนอย่างกับห้องวีไอพี ถึงเวลาถ้าใครเขินโยม เขาก็รูดม่านปิดให้ แต่ฉันกันเป็นปกติ เพราะเขาตีความพระธรรมวินัยเสมอกัน
อาตมาเวลาไปอยู่กับพวกเขานี่ ประมาณ ๔ โมงเย็นก็ออกจากวัดแล้ว ไปอยู่ตามพระพุทธรูปสำคัญ ตามเจดีย์สำคัญ สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน คุยกับผี คุยกับเทวดาไปเรื่อยเปื่อย ทุ่มกว่าสองทุ่มแล้วค่อยกลับวัด ถามว่าทำไม ? คือถ้าอยู่วัดแล้วเขารู้ว่าพระไทยไม่ฉันอาหารเย็น เขาก็ประดักกระเดิด เลยไป ๆ ให้พ้นหน้าเขาเถอะ ถึงเวลาก็บอกหลวงพ่อเจ้าอาวาส "ผมไปไหว้พระเจริญกรรมฐานนะครับ ประมาณสองทุ่ม ถึงจะกลับ" บอกให้ท่านสบายใจว่ากินไปเถอะ เราไม่ยุ่งด้วยหรอก..!
อาหารตอนเช้าก็ฉันกันประมาณตอนตีสามครึ่งถึงตีสี่ เขาจะมีกำหนดที่พระเราเรียกว่า "ได้อรุณ" ฟ้าสว่างแล้วเริ่มออกบิณฑบาตได้ ของบ้านเรานี่ต้องดูยอดไม้ ดูลายมือ มองเห็นลายมือชัดถือว่าได้อรุณ มองยอดไม้แยกใบอ่อนใบแก่ได้ถือว่าได้อรุณ
แต่คราวนี้ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาวล่ะ จะไปแยกอย่างไร ? บางทีแดดไม่มาเลย แต่พม่าเขากำหนดตายตัวเลย กลางเดือน ๕ ได้อรุณตีสามครึ่ง เดือน ๖ ตีสี่ เดือน ๗ ตีสี่ครึง เดือน ๘ ตีห้า ไล่ไปเรื่อย เขาจะกำหนดตายตัวตามนาฬิกาเลย
อาตมาเคยโดนนิมนต์ไปฉันตอนตีสี่ พม่าส่วนใหญ่อาหารเช้าของเขาก็จะเป็นพวกเบา ๆ ขนมจีนบ้าง ข้าวผัดหนึ่งจานบ้าง ต้องบอกว่าพม่าเขาค่อนข้างที่จะลำบาก ส่วนใหญ่แล้วต่อให้เป็นคนทั่วไปก็กินแค่สองมื้อ ก็คือมื้อสาย ๆ จะเป็นขนมจีนหนึ่งจาน ไม่ก็กาแฟกับปาท่องโก๋หนึ่งตัว อย่าคิดว่าปาท่องโก๋หนึ่งตัวไม่อิ่มนะจ๊ะ ตัวหนึ่งยาวเป็นศอกเลย..! คือที่คนจีนเขาเรียกว่า "โหยวเถียว" หรือไม่ก็ข้าวผัดหนึ่งจาน แล้วอีกมื้อหนึ่งก็ไปกินตอน ๓ - ๔ โมงเย็น เพราะว่าเขาไม่ค่อยมีสตางค์กัน บ้านเมืองยากจนมาก
คราวนี้เขานิมนต์พระไปตอนตีสี่ ทั้งวงอาหารเขาจุดเทียนเล็ก ๆ ไว้เล่มเดียว มองอะไรก็ไม่ค่อยถนัด แล้วอาตมาเป็นคนแก่ใส่แว่นด้วย ถึงเวลาก็ขนมจีน นี่ก็ผัก นี่ก็น้ำยา เห็นว่าน่าจะเป็นถั่วฝักยาวซอย หยิบเอามาทั้งขยุ้มเลย โรยลงไป ราดน้ำยาทับ ตักเข้าปาก สะดุ้งเฮือก..! ไม่ใช่ถั่วฝักยาวซอยแต่เป็นพริกขี้หนูเขียว ๆ ซอยมาทั้งชามเลย..! คายก็ไม่ได้..ขายหน้าเขา..! กัดฟันกินเข้าไป เหงื่อแตกพลั่กทั้ง ๆ ที่ตีสี่นั่นแหละ..เวรกรรม..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2024 เมื่อ 20:12
|