โดยเฉพาะตนเองเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าพระอริยเจ้านั้นมีความประพฤติปฏิบัติอย่างไร อยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อมืดบอดก็มองไม่เห็นว่าความจริงแท้เป็นอย่างไร ครั้นไปเจอบุคคลที่มืดบอดด้วยกัน อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน กิเลสใกล้เคียงกัน พูดอะไรออกมาตรงกับกิเลสของตนเอง ก็ไปคิดว่าใช่..!
ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนี้ พระพุทธศาสนาของเราก็จะอยู่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงเป็นภาระ เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรือว่าเจ้าอาวาส จำเป็นที่จะต้องกวดขัน เข้มงวดกับพระภิกษุสามเณรของตน โดยเฉพาะบรรดาท่านที่เป็นครูพระสอนศีลธรรม จะต้องอดทนอดกลั้น รู้สำนึกในสมณสารูปของตน มีสมณสัญญา รู้ว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่เสียหายต่อตนเอง ไม่เสียหายต่อครูบาอาจารย์ และไม่เสียหายต่อพระพุทธศาสนา
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนอย่างกับปล่อยให้บุคคลที่เพิ่งจะฝึกหัดทหาร ได้แค่ท่าบุคคลมือเปล่าเท่านั้น แต่ไปออกรบในแนวหน้า โอกาสที่จะรอดกลับมานั้นมีน้อยเหลือเกิน แต่ว่าท่านทั้งหลายก็ไม่ย่อท้อ อุตส่าห์ไปต่อสู้ฟันฝ่าในสนามจริง จนกระทั่งหลายต่อหลายท่านสามารถยืนหยัดเป็นธรรมเสนา คือทหารผู้แกร่งกล้าในกองทัพธรรมได้อย่างแท้จริง
ต้องขอชื่นชมต่อท่านทั้งหลายที่สละตนเองเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อเยาวชนของเรา แล้วก็ใช้การสั่งสอนเด็ก ๆ นั่นแหละ เป็นการขัดเกลาตนเองไปในตัวด้วย จนกระทั่งสามารถที่จะยืนหยัดเป็นหลักหนึ่งในพระพุทธศาสนาของเราได้ ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ไม่ทอดทิ้งภาระในตรงนี้ ถ้าพวกเราร่วมด้วยช่วยกันในลักษณะอย่างนี้ พระพุทธศาสนาของเราก็ยังสามารถที่เจริญมั่นคงต่อไปได้อย่างแน่นอน
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2024 เมื่อ 00:46
|