ดังนั้น..ในเรื่องของศาสนาในปัจจุบันนี้ ที่สับสนมากก็เพราะว่าการศึกษาเข้าถึงได้ง่าย แต่หาผู้รู้จริงได้ยาก สมัยก่อนเขาต้องศึกษาตามขั้นตอน อย่างเช่นว่าท่องอักขระบาลีให้ได้ ผสมตัวให้ได้ อ่านให้ได้ ค่อย ๆ แปลไปตามขั้นตอน พอแปลได้ก็เริ่มแปลอรรถกถา แปลอรรถกถานะ..ไม่ได้แปลพระไตรปิฎก แปลอรรถกถาเพราะว่าอรรถกถาก็คือสิ่งที่บรรดาพระเถระต่าง ๆ ท่านอธิบายขยายความเอาไว้ จะได้รู้ว่าถ้าเราศึกษาพระไตรปิฎก ควรที่จะทำความเข้าใจไปในแนวทางไหน
ไม่ใช่อยู่ ๆ กูก็ไปคว้ามา จะเอาเฉพาะพุทธวจนะ แล้วก็ตีความเข้าป่าเข้าดงไปเลย ก็คือรู้ไม่พอ จินตนาการบรรเจิดอีกต่างหาก ก็เลยไปกันใหญ่..! กลายเป็นว่าคนพุทธด้วยกันนี่แหละที่อวดรู้ แล้วก็กลายเป็นทำลายหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก คือเหมือนอย่างกับว่าคนสมัยนี้ ส่วนหนึ่งเข้าหาศาสนาพุทธเพราะต้องการความสะใจ ประหลาดดี..!
ศาสนาพุทธของเรามีประโยชน์ตรงไหน ? มีประโยชน์ตรงที่ว่านำเอาหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติ ป้องกันไม่ให้ตนตกไปในทางที่ชั่ว ไม่ใช่ให้ศึกษาเรียนรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ แล้วเอาไปคุยทับกัน มันสะใจดี ฟังแล้วบ้าไปเลย..!
แต่ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นตาบอด เราต้องตาดีให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เดินชนกันหัวร้างคางแตก แล้วต่างคนต่างก็โทษอีกฝ่ายว่าตาบอด..!
คนตาบอดถือตะเกียงเดินมา คนตาดีก็สงสัยว่า "กลางค่ำกลางคืน แกตาบอดมองอะไรไม่เห็น แล้วจะถือตะเกียงไปทำไม ?" คนตาบอดตอบว่า "ถือเพื่อให้พวกคนตาดีอย่างแกไม่เดินมาชน" สรุปแล้วก็คือ คนตาบอดมีความเข้าใจมากกว่า เพราะว่าตัวเองตาบอด กลางวันกลางคืนเหมือนกัน เดินไม่ชนใครอยู่แล้ว แต่คนตาดีกลางคืนมองไม่เห็น มักจะเดินมาชนคนตาบอด คนตาบอดก็เลยต้องถือตะเกียงให้คนตาดีดู..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2024 เมื่อ 18:53
|