ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่าตั้งแต่ยุคสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร์ของเรา ศาสนาพราหมณ์อยู่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์มาตลอด แต่นอกจากไม่ได้ครอบงำสถาบันแล้ว ยังยอมรับการแต่งตั้งจากสถาบันด้วย อย่างพวกตำแหน่งราชครูวามเทพมุนี วามะ ก็คือพราหมณะ ซึ่งก็คือ พราหมณ์ หลายต่อหลายคนนามสกุลก็ยังบอกความเป็นพราหมณ์อย่างชัดเจน อย่างนามสกุล "รังสิพราหมณกุล" ซึ่งบอกไว้ชัด ๆ เลยว่าเป็นพราหมณ์
เมื่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ ประเพณีต่าง ๆ โดนดัดแปลงมาเป็นพุทธจนหมดเพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ออกผนวชถึง ๒๗ พรรษา พิธีพราหมณ์ต่าง ๆ จะเริ่มด้วยพิธีพุทธก่อน อย่างเช่นว่าการสมาทานศีล การเจริญพระพุทธมนต์ การเจริญชัยมงคลคาถา แล้วค่อยต่อด้วยพิธีพราหมณ์อย่างเช่นการบวงสรวงสังเวย การแรกนาขวัญ เหล่านี้เป็นต้น
คราวนี้ในเรื่องของศาสนาเราต้องเข้าใจว่าเป็นหลักยึด เป็นหลักยึดเพื่อให้จิตใจของเรามั่นคง เนื่องจากมั่นใจว่ามีที่พึ่ง ตั้งแต่โบราณมาจะเห็นว่าอะไรที่ลึกลับ ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือตน ก็จะถูกยกขึ้นเป็นที่เคารพ อย่างเช่นว่า ภูเขา ต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างปัจจุบันนี้ที่เข้าไม่ถึง อย่างยอดเขาไกรลาสที่ฝรั่งเรียกว่าเคทู (K2) ตัว K ก็มาจากคำว่าไกรลาสนั่นแหละ
เคทูไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุด เพราะยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาเอเวอเรสต์ (Everest) รองจากเอเวอเรสต์ก็มาเป็นเคทู (K2) แล้วตามมาด้วยคันเชนจุงกา (Kanchenjunga)
เคทูแม้จะติด ๑ ใน ๘ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก แต่ไม่ได้สูงแบบเอเวอเรสต์ เพียงแต่ว่าเป็นยอดเขาที่ไม่ต้อนรับผู้คน ใครตั้งใจจะปีนพอใกล้ยอดเขาก็มักจะเกิดภัยธรรมชาติ พายุบ้างหิมะบ้าง จนกระทั่งขึ้นไม่ถึง ก็เลยกลายเป็นที่เคารพ เคารพในพลังอำนาจที่ตนเองไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เราสวดมนต์กันตอนเช้า ๆ ที่ว่า
พะหุง เว สะระณัง ยันติ............ปัพพะตานิ วะนานิ จะ
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ................มะนุสสา ภะยะตัชชิตา
มนุษย์เป็นอันมากเมื่อโดนภัยเบียดเบียน ก็เข้าหาที่พึ่ง ปัพพะคือภูเขา วะนาคือป่า อารามในที่นี้น่าจะหมายถึงศาสนสถาน รุกขะคือต้นไม้ เจต๎ยานิคือเจดีย์ ยึดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่พึ่ง
เนตัง โข สะระณัง เขมัง...............เนตัง สะระณะมุตตะมัง
แต่ว่าที่พึ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เป็นที่พึ่งอันเกษม ไม่เป็นที่พึ่งอันอุดม พูดง่าย ๆ ก็คือยึดถือไม่ได้อย่างจริงจัง
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ...............สังฆัญจะ สะระณัง คะโต
แต่ว่าการยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนั้น
เอตัง โข สะระณัง เขมัง..................เอตัง สะระณะมุตตะมัง
จึงเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เอตัง สะระณะมาคัมมะ....................สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
เมื่อยึดในที่พึ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ย่อมมีความสามารถในการทำให้กองทุกข์ทั้งหลายหมดสิ้นลงไปได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2024 เมื่อ 15:35
|