แล้วศีลพระก็ระบุไว้ชัดว่ารับเองก็ดี ใช้ผู้อื่นรับแทนก็ดี โดนอาบัติเหมือนกัน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกรงว่าพระเณรของเราจะสะสมเงินเพื่อรวย สมัยยุคแรก ๆ เขาใช้การสะสมผ้าไตรจีวร เพราะว่าบางทีเศรษฐีที่ท่านรวย ๆ ก็ถวายผ้าทีหนึ่ง ๔ คู่บ้าง ๘ คู่บ้าง คำว่าคู่ในที่นี้ก็คือตามแบบของคนอินเดียโบราณ ว่าจะต้องเป็นผ้านุ่งผืนหนึ่ง ผ้าห่มผืนหนึ่ง
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านให้ใช้แค่ผ้าไตรจีวร ส่วนเกินมาก็ดูแลลำบาก เพราะว่าต้องทำวิกัปเป็นสองเจ้าของเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็ต้องสละไปเลย ก็เลยมีพระภิกษุที่เอาผ้าไปขายให้ฆราวาส เพราะว่าบางทีผ้าที่เศรษฐีเขาถวายมาราคาแพงมาก ตนเองก็เอาไปขายสักครึ่งราคา เป็นต้น เราจะเห็นว่าไม่ว่าตั้งแต่ยุคพุทธกาลหรือว่าปัจจุบัน บุคคลประเภทนี้จะมีตลอด เนื่องเพราะว่าขาดความละอายชั่วกลัวบาป ไม่รักศีลของตนเอง
จากที่กระผม/อาตมภาพไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อช่วยดูแลตอนที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ได้ช่วยดูแลท่านถึง ๔ ปี เห็นสิ่งที่พระท่านทำแล้วก็ยังรู้สึกปลื้มใจ ก็คือเมื่อมีโยมถวายปัจจัย จะให้ถวายเป็นใบปวารณา ส่วนปัจจัยก็จะให้ไวยาวัจกรเก็บไปแล้วลงบัญชีไว้ให้เรียบร้อย ทุกเย็นจะนำส่งธนาคาร ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "ทำไมถึงต้องส่งธนาคารทุกเย็นครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ส่ง เดี๋ยวพวกที่มีความโลภขึ้นมา เห็นหลวงตาแก่อยู่กุฏิคนเดียว จะบีบคอตายแหงเพื่อที่จะเอาเงินไปนะสิ..!"
แล้วท่านก็เห็นว่าเมื่อไม่นานนี้ มีข่าวท่านเจ้าคุณรองเจ้าคณะจังหวัดแห่งหนึ่งโดนขโมยงัดกุฏิ เฉพาะเงินสดได้ไป ๓ แสนบาท เพียงแต่ว่าเป็นเงินที่ท่านจะเอาไว้จ่ายให้กับช่างที่ก่อสร้าง ถ้าอย่างนี้คดีน่าจะทำง่าย เพราะว่าก็คงจะมีแต่ท่านเจ้าคุณและเจ้าหน้าที่ธนาคารกับช่างเท่านั้น ที่จะรู้ว่าจะจ่ายเงินกันเมื่อไร..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2024 เมื่อ 11:13
|