หลายต่อหลายท่านไปเน้นสมถภาวนาอย่างเดียว โอกาสที่ท่านจะบรรลุก็มีเหมือนกัน แต่ต้องกดกิเลสให้นิ่งเอาไว้ต่อเนื่องเป็นเวลา ๒๐ - ๓๐ ปี เผลอหลุดเมื่อไรก็โดนกิเลสงัดหงายท้อง..! ขนาดพระเถระที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณในทางปฏิบัติธรรมก็สึกหาลาเพศมาแล้ว ในขณะเดียวกันสายที่บอกว่าเน้นแต่วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว ก็โดนกิเลสตีปางตายเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีกำลังที่จะยกอาวุธขึ้นมาตัดมาฟันอะไรได้..!
เรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงต้องมีครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงช่วยแนะนำวิธีการให้กับพวกเรา ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณอย่างเดียว ตามในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรกล่าวไว้ก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งบวชพระตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี แล้วก็พิจารณาวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียวต่อเนื่องไป แล้วบรรลุอรหัตผลตอนอายุ ๘๐ ปี นั่นคือการบรรลุด้วยปัญญาวิมุติ คือใช้ปัญญาอย่างเดียว ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง ใครจะมีเวลา ๖๐ ปี มาพิจารณาวิปัสสนาต่อเนื่องแบบนั้นได้บ้าง ?
ส่วนท่านที่ทรงสมาธิในสมถกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าท่านแน่จริงก็ไปได้เหมือนกัน ก็คือกดกิเลสเอาไว้นานเพียงพอจนกิเลสตายไปเอง เขาเรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลส เพียงแต่ว่าเราก็ต้องมีกำลังเพียงพอและมีอายุที่ยืนนานพอเหมือนกัน เพราะถ้านานไม่พอ เผลอเมื่อไรกิเลสก็งอกงามใหม่ ทั้งสองอย่างจึงมีทั้งข้อเด่นข้อด้อยของตนเองที่สามารถเอามาเสริมกันได้พอดี
ในเมื่อมีวิธีที่ง่าย ก็คือทำสองอย่างสลับกันไปสลับกันมา แต่กลับเห็นผู้ปฏิบัติบางสายไปเน้นเอาอย่างเดียว แล้วบรรดาลูกศิษย์ก็เดือดร้อนอยู่เสมอ เพราะว่ากิเลสไม่เคยปรานีเรา ถึงเวลาก็ตีเราเกือบตาย ส่วนเราเองนั้นก็ปัญญาไม่พอ หรือว่าปรับการปฏิบัติธรรมไม่เป็น ครูบาอาจารย์บอกอย่างไรก็เชื่อตามนั้นอย่างเดียว เมื่อถึงเวลากิเลสตีกลับ ก็เสียผู้เสียคนไปมากต่อมากแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักและทำให้ถูก เพราะว่าเราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร จึงต้องเร่งรัดปฏิบัติธรรมให้เกิดผลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไปไม่ถึงที่สุด ก็ให้เหลือหนทางในการเวียนว่ายตายเกิดที่สั้นที่สุด เพื่อที่เราจะได้เหลือชาติเกิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เนื่องจากว่าเกิดเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเรามัวแต่ประมาทอยู่ ไม่เร่งรัดการปฏิบัติของตนเอง มัวแต่ไปชมดอกไม้ข้างทาง เรื่องโน้นก็ดี เรื่องนี้ก็น่าสนใจ เราก็จะโดนกิเลสหลอกให้อยู่กับรัก โลภ โกรธ หลง กันต่อไปอีกนับชาติไม่ถ้วน..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2024 เมื่อ 02:08
|