องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นธรรมซึ่งทำให้เราเนิ่นช้า" คำว่า "เนิ่นช้า" ในที่นี้ก็คือ การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ที่ก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเรานับไม่ถ้วน แต่เราเองแทนที่จะลด จะละ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้น้อยลงไปตามลำดับ เรากลับไปเพิ่มขึ้น
คำว่า ตัณหา ในที่นี้ก็คือความอยากทั้งปวง โดยเฉพาะความอยากมี อยากได้ อยากเป็น อย่างที่กระผม/อาตมภาพกล่าวเอาไว้แล้วว่า ถ้าเรายังใช้ความอยากนำหน้า ใช้ตัณหานำทาง การปฏิบัติธรรมของพวกเราจะไม่มีผล เนื่องเพราะว่าจิตใจฟุ้งซ่านด้วยความอยาก ในเมื่อจิตไม่สงบ เราย่อมทรงสมาธิไม่ได้ เมื่อทรงสมาธิไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะระงับกิเลสลงชั่วคราว เมื่อระงับกิเลสชั่วคราวไม่ได้ กำลังใจไม่ผ่องใสพอ ก็มองไม่เห็นหนทางว่าจะลด จะละ จะเลิก กิเลสทั้งหลายไปจากใจได้อย่างไร
ส่วนมานะก็คือความถือตัวถือตน เรียกง่าย ๆ ว่าแบกตัวกูของกูมาแต่ไกล โน่นก็ตัวกู นี่ก็ของกู นั่นลูกกู ผัวกู เมียกู ยังไม่พอ ตอนนี้ยังครูบาอาจารย์ของกูอีก..! ใครจะแตะครูบาอาจารย์กูไม่ได้ กูต้องโดดกัดไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สากับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเลย แล้วมึงจะเดือดร้อนไปทำไม ? ก็เพราะว่าเราไปแบกมานะเอาไว้มากนั่นเอง
ความมานะนั้นมีทั้งสำคัญว่าตัวเราสูงส่งกว่าผู้อื่น ดีกว่าผู้อื่น มีทั้งแบกเอาไว้ว่าเราเสมอกับผู้อื่น มีทั้งแบกเอาไว้ในลักษณะว่าเราด้อยกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะน้อยกว่า จะเสมอกัน หรือว่าจะมากกว่า ล้วนแล้วแต่เป็นการแบกกิเลสไว้ทั้งสิ้น ยิ่งแบกไว้มากเท่าไร ก็ยิ่งถ่วงหนักให้เราถึงเป้าหมายช้าเท่านั้น
ส่วนในเรื่องของทิฏฐินั้น ก็คือมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิจัดว่าเป็นตัวปัญญา แต่มิจฉาทิฏฐิเป็นความมืดบอด สัมมาทิฏฐิอย่างเช่นว่าเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษ เห็นว่าเราควรที่จะเร่งรีบปฏิบัติ เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์เหล่านี้ เป็นต้น แต่เรากลับแบกมิจฉาทิฏฐิเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ก็คือมีความเห็นว่าสิ่งนั้นก็ของกู สิ่งนี้ก็ของกู ยิ่งแบกก็ยิ่งหนัก บางคนรู้สึกทุกข์มาก เครียดมาก แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองแบกไว้ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยวาง ๆ แต่เรากลับวางไม่ได้
ดังนั้น..บางทีสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอกพวกเรานั้น เป็นการชี้ทางออกบอกทางถูกให้ แต่เรากลับไม่มีปัญญามองเห็นหนทางนั้นอย่างหนึ่ง กำลังไม่เพียงพอที่จะก้าวเดินไปในหนทางนั้นอีกอย่างหนึ่ง แล้วแทนที่จะรีบเร่งรัดให้ตนเองมีกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญามากขึ้น เพื่อที่จะได้มองเห็นหนทาง หรือว่าจะได้มีกำลังก้าวเดินให้ผ่านพ้นไป เรากลับเอาเวลาเหล่านั้นไปนั่งเอากิเลสชนกับชาวบ้าน..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-10-2024 เมื่อ 10:15
|