คราวนี้เหลือระยะเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ประมาณอาทิตย์เดียวจะออกพรรษาแล้ว หลายท่านก็ "ออกอาการล้า" พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เคยทำอย่างเข้มแข็งตั้งแต่วันเข้าพรรษาแรก ๆ มา ถึงตอนนี้ก็เริ่มปล่อยปละละเลย แล้วถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นพระใหม่ออกอาการล้า แล้วพระเก่าที่ท่านอยู่กันมาเป็นสิบ ๆ พรรษา เขาไม่ล้ากันหมดแล้วหรือ ?
เรื่องพวกนี้ความจริงแล้วแก้ไขง่ายมาก ก็คือเร่งในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถ้าสามารถทรงฌานได้เท่านั้น ท่านจะหายจากการล้าทั้งหมด เนื่องเพราะมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า สมาธิภาวนามีคุณความดีอย่างไร ? ช่วยในการดับกิเลสชั่วคราวได้อย่างไร ? ช่วยหนุนเสริมในการใช้ปัญญาตัดกิเลสอย่างแท้จริงได้อย่างไร ? แต่ว่าพวกเรานอกจากไม่เพียรพยายาม บุคคลที่เพียรพยายามบางทีก็ใช้ความเพียรในทางที่ผิด แทนที่จะดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง เรากลับไปจ้องจับผิดคนอื่น..!
พระบาลีกล่าวไว้ชัดเจนว่า อัตตนา โจทยัตตานัง เราต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองไว้เสมอ ถ้าเป็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า "อย่าคิดว่าตนเองดีแล้วเป็นอันขาด คนไหนคิดว่าตนเองดีแล้ว คนนั้นระยำที่สุด..!" เหตุเพราะว่า เมื่อคิดว่าดีแล้วก็ไม่ขวนขวายที่จะทำให้ดียิ่งไปกว่านั้น
เรื่องพวกนี้ความจริงทุกคนเคยได้ยินมา เคยผ่านหูผ่านตามาทั้งนั้น แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วกิเลสก็มีอำนาจมากกว่า ชวนให้ไปกินเราก็กิน ชวนให้ไปนอนเราก็นอน แต่พอถึงเวลาเราชวนมาสวดมนต์ ทำวัตร เจริญกรรมฐาน มันไม่อยากจะมา..! แล้วท่านคิดว่าพรรคพวกในลักษณะนี้ยังจะคบได้หรือไม่ ?
เรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอด ก็คือช่วยเสริมสร้างกำลังใจของเราให้เข้มแข็งขึ้น ต่อสู้กับกิเลสได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น แต่เรากลับไม่ขวนขวายที่จะทำให้ดี เหมือนอย่างกับข้าศึกตีเมืองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทนที่เราจะเสริมสร้างกำแพงให้แข็งแกร่ง ก่อกำแพงให้สูงยิ่งขึ้น สรรหาอาวุธมาต่อสู้กิเลสให้มากขึ้น เรากลับไปอยู่เฉย ๆ รอเวลากิเลสตีเมืองให้แตก ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นโอกาสที่จะโดนข้าศึกเข่นฆ่าสังหาร ก็มีมากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2024 เมื่อ 03:14
|