ที่วัดเสือแห่งนี้สัตว์ป่าต่าง ๆ ชนิดกัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องทำลายชีวิตกัน แต่สัตว์ป่าที่นี่กลับมีความคุ้นเคยกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกในสถานที่แห่งนี้ ดังนี้
"ทีแรกพวกวัวพวกควายนี้ก็ร้อง "โอ้กอ้าก ๆ" พอเห็นเสือวิ่งเข้าป่าเข้ารก เสือก็ไล่ ไล่ไปก็โดดขึ้นบนหลังวัวหลังควาย ฟังเสียงร้อง "อ้าก ๆ" ขึ้น เขาไม่ใช่อะไรนะ..เขาหยอก เสือหยอกควายนี้ ควายมันจะตาย..มันกลัว หยอกวัว หยอกควาย เสียงร้อง "อ้ากอึ้ก ๆ" ไอ้เสืออยู่บนหลัง มันขบขันดีนะ คือไม่ทำไม แล้วก็ไม่ใช้เล็บ เล็บไม่ใช้ กัดก็ไม่กัด มีแต่หยอกเล่น
แต่ควายตั้งแต่เกิดมามันคุ้นเสือเมื่อไร..ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นเขาถึงวิ่ง วิ่ง..เสือก็ไล่ ไล่โดดขึ้นบนหลัง ควายก็หมอบร้อง "อ้าก ๆ" โอ๊ย..ขบขันดี ตัวหนึ่งเล่นตัวหนึ่งกลัว เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้วนะ ที่ว่านี้ว่าแต่เริ่มแรก เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้ว ไม่ว่าเสือว่าวัวว่าควาย อยู่ด้วยกันได้สบายเลย นี่..อำนาจเมตตาธรรม ไม่มีอะไรกันเลย"
ก่อนวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีจะเป็น "วัดเสือ" ที่เกี่ยวข้องกับการอนุเคราะห์เมตตาสัตว์ ท่านพระอาจารย์ภูษิต (จันทร์) ได้เคยรับหน้าที่ดูแลอาหารน้ำให้สัตว์หลายร้อยตัวในวัดป่าบ้านตาด มาตั้งแต่ครั้งเมื่ออยู่กับองค์หลวงตา แล้วเป็นกิจวัตรเพิ่มเติมจากความรับผิดชอบในกุฏิองค์หลวงตา ซึ่งส่วนหนึ่งของหนังสือน่านฟ้าได้กล่าวถึงเรื่องราวของท่านพระอาจารย์ภูษิตในเหตุการณ์ระยะนั้นว่า
"วันนั้นหลวงตาท่านไปข้างนอก กว่าจะกลับก็เกือบมืด ท่านอาจารย์จันทร์มีหน้าที่อีกอย่าง คือ ให้อาหารไก่ทั้งหลายในวัดซึ่งมีอยู่เป็นร้อยตัว วันนั้นท่านก็ลืมให้อาหารไก่ พอหลวงตากลับมาถึง ท่านก็รีบเตรียมต้มน้ำร้อน ใส่กระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกไว้ข้างที่นอนหลวงตา เพราะเป็นหน้าหนาวซึ่งหนาวมาก ท่านก็วางกระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกมาอยู่ด้านนอกของกุฏิ ก็เห็นไก่ทั้งหลายแห่กันมาหาหลวงตาถึงหน้ากุฏิ พร้อมแย่งกันส่งเสียงกันดังแซ่ดเต็มไปหมด ท่านประหลาดใจมาก
ทันใดนั้นหลวงตาก็ถามท่านว่า "ท่านจันทร์..วันนี้ไม่ได้เอาอาหารให้พวกไก่หรอกหรือ ?"
เท่านั้นแหละ ท่านก็เข้าใจทันทีว่า พวกไก่มันแห่กันมาฟ้องท่าน แต่ไม่เท่านั้น ท่านยังคิดสงสัยต่อไปอีกว่า "เอ.. แล้วท่านพ่อ (ท่านเรียกหลวงตาว่า ท่านพ่อ) รู้ภาษาไก่ได้อย่างไร ?"
ทันทีที่คิดจบ กระเป๋าน้ำร้อนก็ปลิวร่อนฟิ้ว ดิ่งตรงออกมาที่หน้าท่านกำลังยืนลังเลอยู่ ถ้าท่านไม่หลบ ก็ฟาดหัวแตกแน่นอน ท่านหลบได้ทัน พร้อมกับของขึ้นคิดว่า
"กระเป๋าน้ำร้อนก็อุตส่าห์ทำถวายให้ได้ใช้ตามที่คุณหมออวยถวายไว้ และยังเอามาปาหัวเราเกือบหัวแตก และนี่เราเป็นใคร เราเป็นถึงนักเรียนนอกปริญญาโท มาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมที่นี่ ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทำเราขนาดนี้ ?"
ท่านบอกว่าทิฏฐิมันขึ้นขีดสุด กำลังจะเดินออกไป ตัดสินใจว่า "ไปแน่..ไม่อยู่แล้ว ออกจากนี่ไปแล้วก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก"
ทันใดนั้นเสียงหลวงตาก็ดังลั่น "แค่ภาษาสัตว์ทำไมจะรู้ไม่ได้ พวกฤๅษีนอกศาสนาเขายังระลึกชาติได้ตั้ง ๗ ชาติ แล้วเราเป็นใคร ? เราเป็นพระในพระพุทธศาสนา ระลึกได้ไม่ถึง ๗ ชาติก็ให้อายพวกฤๅษีนอกศาสนา และสมัยหลวงปู่มั่นน่ะนะ ไม่มีของใช้ดี ๆ (กระเป๋าน้ำร้อน) อย่างที่เราใช้กันนี่หรอกนะจะบอกให้"
พอท่านได้ฟังเท่านั้น ท่านถึงกับก้มกราบลงขอขมาท่านหลวงตา นี่คือคำสอนตอนหนึ่งที่หลวงตาท่านปราบทิฏฐิชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว และเมื่อรู้เท่าทันก็ผ่านการทดสอบจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่เมตตาให้ท่านได้อยู่ปฏิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดและตลอดเวลา ครูบาอาจารย์เช่นนี้หาได้ยากในโลก ผู้ใดที่คิดว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่เมตตาที่ทำเช่นนั้นเช่นนี้ ก็ขอจงพิจารณา"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2024 เมื่อ 14:30
|