ดังนั้น..ในเรื่องของการทำความดี กระผม/อาตมภาพถึงได้กล่าวว่า เราต้องทำดีเพราะอยากทำ เราถึงจะทำได้ทนทำได้นาน แต่ถ้าเราทำดีเพราะอยากดี ถึงเวลาไม่มีความดีสนองตอบ เราก็จะหมดกำลังใจ จึงเป็นเรื่องที่เราต้องตั้งกำลังใจของตนเองเสียใหม่ ก็คือทำความดีเพราะสิ่งนี้ดี เราถึงทำ ละความชั่วเพราะสิ่งนี้ชั่ว เราถึงละ พยายามปลดจิตของเราออกมาจากความดีความชั่วเหล่านั้น ก็คือได้ดีก็ไม่ยินดี เจอความชั่วก็ไม่ยินร้าย มองให้เห็นว่าปกติของโลกเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ ท่านทั้งหลายจะยกกำลังใจขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมมาก ก็คือกำลังใจของเราที่ทำความดี เพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนเขาสรรเสริญว่าดี เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาสั่งสอนพวกเราว่า ทำแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น ละความชั่วเพราะว่าสิ่งทั้งหลายนั้น ทำให้ทั้งตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
คราวนี้พอเราทำดีละชั่ว ทำดีละชั่วไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นว่าความดีนั้นเต็ม ความชั่วนั้นไม่มีเพิ่มขึ้นมาอีก ถ้าถึงตอนนั้นกำลังใจของเราจะปลดจากการยึดเกาะทั้งปวง ก็คือรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เอาแล้วทั้งดีและชั่วเหล่านั้น เราก็สามารถยกใจของเราขึ้นเหนือโลกได้ ยกได้มากเท่าไรก็เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้มากเท่านั้น ถ้าหลุดพ้นไปได้เลยก็เข้าสู่พระนิพพาน
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2024 เมื่อ 02:01
|