แม้กระทั่งทุกวันนี้ ท่านทั้งหลายถ้าสังเกตก็จะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพไม่ยุ่งเลยกับพวกกาแฟ หรือพวกบรรดาเครื่องดื่มชูกำลังต่าง ๆ เลย ด้วยเห็นโทษตั้งแต่สมัยออกธุดงค์แล้ว เพราะว่าทำให้เราจะต้องหาไป แบกหนักยังไม่พอ ถึงเวลาไม่มีก็ทำท่าจะตาย เดินไม่ไหวอีกต่างหาก จึงไม่ได้เห็นด้วยในเรื่องที่มีการตั้งร้านกาแฟ หรือว่าร้านค้าอยู่ในวัด เพราะว่าการค้าขายไม่ใช่เรื่องของพระ แต่ว่าที่ไหนเขาทำ เพื่อหารายได้หรือเพื่อดึงคนเข้าวัด นั่นก็แล้วแต่เขา แต่ที่วัดท่าขนุนนี่ กระผม/อาตมภาพไม่ทำอย่างแน่นอน
คราวนี้ตัวบทเรียนที่อยากจะให้ทุกท่านพิจารณาก็คือว่า เรื่องนี้แม้เจ้าคุณกล้าท่านจะทำอย่างรอบคอบ ถึงขนาดมีการประชุมคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้องแล้ว แต่ปรากฏว่าตอนประชุมไม่มีใครพูด มาด่ากันตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งแก้ไขไม่ทัน
นี่คือลักษณะของปุถุชนทั่ว ๆ ไปที่ว่า ถ้าหากว่าส่วนใหญ่เขาจะเอาอะไรก็มักจะหุบปากเงียบ ไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด เพราะกลัวว่าคนจะไม่ชอบขี้หน้าตัวเอง นั่นก็คือรักตัวเองมากกว่าความถูกต้อง แล้วเราจะเจอคนประเภทนี้ในสังคมเยอะมาก ตอนสมควรพูดจะไม่พูด แต่ตอนไม่สมควรพูด มักจะพูดไม่หยุด ก็เลยทำให้เรื่องที่ควรจะสะดวกและง่ายกลายเป็นเรื่องระดับชาติไปเลย เพราะว่าผลงานที่โดนทุบทำลายนั้นเป็นผลงานของศิลปินแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง พูดออกมาก็โดนด่าไปด้วย เพราะเขาหาว่าเข้าข้างเจ้าอาวาส..!
แล้วแต่ละคนก็ด่ากันแบบชนิดที่เรียกว่าเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ได้ยึดภาษิตโบราณที่ว่า "ถ้าไม่เห็นแก่หน้าพระ ก็ให้เห็นแก่ผ้าเหลือง" ก็คือขอให้กูได้ด่าไว้ก่อน แล้วจะรู้สึกว่ากูเป็นคนดี..! เจ้าพวกนี้ต้องยกภาษิตจีนขึ้นมา ที่เขาบอกว่า "สวรรค์มีทางไม่รู้จักไป นรกไร้ประตูดันตะกายมา"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2024 เมื่อ 02:11
|