เราท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรจะเห็นว่า ถ้าเราไม่มีศีลเป็นกรอบ ป่านนี้พระพุทธศาสนาของเราก็คงจะเละเทะหมดสภาพไปนานแล้ว ขนาดมีศีลเป็นกรอบก็ยังมีบุคคลที่ตั้งใจจะฝ่าฝืนกันจนเป็นปกติ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่ากรอบลดน้อยลง หรือว่าผ่อนคลายมากขึ้น ก็จะเจอประเภท "ได้คืบจะเอาศอก" ขอยกเลิกสิกขาบทไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็ไม่ต้องมีศีลมากแบบปัจจุบันนี้
อย่าลืมว่าพระภิกษุสามเณรของเรานั้น เป็นที่เคารพของญาติโยมได้ก็เพราะว่ามีศีลมากกว่า มีความต่างในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าทุกอย่างเหมือนกันแล้ว ฆราวาสที่ไหนเขาจะมาเคารพนับถือ ? ดังนั้น..ในการที่พระภิกษุสามเณรของเราจะมีความต่าง จะมีสิ่งที่ให้ชาวบ้านเขาเคารพนับถือ อันดับแรกเลยก็คือศีล หลังจากนั้นก็เป็นสมาธิและปัญญา ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ใช้อัตโนมติ คือความเห็นของตนเอง ว่าเป็นพระวัดป่าไม่ต้องเสียเวลามาสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เห็นความสำคัญในการใช้อามิสบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของบุคคลที่ไม่ประมาท พยายามจะสร้างสมบุญทุกประเภทให้กับตนเอง แต่ก็ไปเจอบุคคลที่ไม่เพียงแต่ประมาท แถมยังโง่เขลาเบาปัญญาอีกต่างหาก มองไม่เห็นวิธีการปฏิบัติธรรมแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลใหญ่ที่คนโบราณเขาสั่งสอนต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นการถวายข้าวพระ เป็นการถวายน้ำ เป็นการสวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็ไปกล่าวตำหนิบุคคลที่เขาทำ เหมือนอย่างกับว่าตนเองเท่านั้นที่ทำดีทำถูก
ส่วนบุคคลที่เห็นว่าเขาทำผิด พูดผิด สอนผิด แทนที่จะกล่าวแนะนำด้วยความเมตตา หรือว่ากล่าวแนะนำโดยธรรม ก็กลายเป็นว่าส่วนใหญ่แล้วไปโจมตีคนอื่นเพื่อยกตนเองให้เด่นขึ้นมา สังคมของเราทั้งทางโลกและทางธรรมจึงได้วุ่นวายไปหมดอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้
ทำอย่างไรที่เราจะมองเห็นคุณงามความดีของผู้อื่น แล้วอนุโมทนายินดีในความดีนั้น ไม่ใช่เขาไปช่วยคนน้ำท่วมก็ไป "ด้อยค่า" ไม่ใช่เขาทำอาหารไปให้ก็บอกว่ารสชาติไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่ว่าเขาสอนธรรมผิด ๆ เราก็ไปโจมตีเขาอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ได้บอกว่าที่ถูกนั้นเป็นอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ภายในสังคมของเราต้องรู้ระมัดระวังและแก้ไข
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2024 เมื่อ 02:42
|