แม้จะวัย ๙๐ ปีชราภาพมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นต้องรักษาชีวิตสัตว์แบบเร่งด่วน ทำให้ท่านต้องจับสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยตนเองก็มีไม่น้อย ดังนี้
"ที่สนใจมากคือสัตว์ ถ้าเห็นสัตว์ตัวไหนจ้องอยู่นั้น เฝ้าดูอยู่นั้น ยิ่งกระแตด้วยแล้วยิ่งรักมาก ไปไหนถามหาแต่กระแต กระแตไปไหน มีแต่กระแตยั้ว ๆ เยี้ย ๆ นี่..ชี้มาหาคน แล้วก็เดินผ่านไป อย่างนั้นแหละ จึงได้บอกว่างูทางมะพร้าว งูสา ใครเจอแล้วให้รีบมาบอกพระ ถ้าเป็นกลางวันให้รีบมาบอกพระ ให้ดูตัวมันไว้ มันเลื้อยไปไหน คนหนึ่งให้เดินตามไป แล้วคนหนึ่งรีบออกมาบอกพระ ให้พระไปจับ
นี่ละ..ตัวสำคัญของกระแต ไม่มีเหลือนะ เทียบกับแมวตัวหนึ่ง งูนี้มันหลอกกระแตนี้ของเล่นเมื่อไร พอได้โอกาสปั๊บพันเลย..!
เราไปเห็นแล้วอยู่หน้าทางจงกรมเรา กระแตมากินน้ำ งูก็ไปเฝ้าอยู่ในน้ำ หัวจงกรมเราด้วย เราเดินจงกรมก็คอยสังเกตดู เพราะยังไงก็ไม่มีอันตรายถ้าเราอยู่ที่นั่น..ว่างั้นเถอะนะ มันจะทำแบบไหนกัน ก็เราดูอยู่ที่นั่น
สักเดี๋ยวมันหลอกกันนะ ทำให้กระแตเผลอ หลอกทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ กระแตก็วิ่งรอบนั้นรอบนี้ พอได้โอกาสปั๊บฉวยมับเลยนะ..พันเลย พอพันเราก็โดดใส่เลย จับได้เลย..งูนี้แหละ กระแตหลุดก็วิ่งชนต้นไม้ต้นอะไรไป แต่ไม่เป็นไรแหละ เราก็จับงูได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ก็ว่ากลัวงูก็กลัวนะ ธรรมดาแล้วกลัว แต่ทุกวันนี้พูดตามความจริง ไม่ทราบว่ากลัวหรือไม่กลัว เหตุผลเท่านั้น ถ้าเป็นงูไม่เป็นภัยไม่ระวังมากนัก เช่น งูทางมะพร้าว งูเขียว พระฉวยได้ยังไงเราก็ฉวยได้แบบเดียวกัน แน่ะ..คือเหตุผล
มันไม่เป็นภัยกลัวหาอะไร ไม่เป็นภัยก็ต้องไม่กลัว ถึงเรียกว่ามีเหตุผล..ใช่ไหม ? มันไม่เป็นภัยยังกลัวอยู่ ก็เรียกว่าบ้ากลัว เข้าใจไหม ? อันนี้ไม่กลัว ฉวยมับเลย จับได้เรื่อยแหละ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2024 เมื่อ 19:59
|