เมื่อหลวงพ่อฤๅษีฯ ตอนนั้น ท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่ ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์แจงเสียชีวิตแล้ว จึงไปขอศึกษาตำราพระร่วง แต่ว่าภรรยาท่านอาจารย์แจงบอกว่าให้ไม่ได้ เพราะสามีสั่งไว้ว่า ถ้าใครมาขอศึกษาตำรานี้ ให้เอาดาบคู่มือที่ท่านอาจารย์แจงเตรียมไว้ ๒ เล่ม ไปรำที่กลางแจ้ง ถ้าใครรำดาบแล้วมีฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นลูกหลานพระร่วง ให้มอบตำราให้คนนั้นไปศึกษา
หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเล่าว่าเราเป็นพระ จะให้ไปรำดาบก็น่าเกลียด จึงขอถือดาบยืนนิ่ง ๆ อยู่กลางแจ้งสัก ๒ นาที ถ้าฟ้าไม่ผ่าก็เป็นอันว่าไม่ขอศึกษาตำรานี้ ท่านบอกว่าเพิ่งจะถอดดาบออกจากฝัก เดินยังไม่ทันจะพ้นบอกชาน ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หูอื้อกันทั้งบ้านเลย ภรรยาท่านอาจารย์แจงจึงได้มอบตำราให้กับหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเอามาศึกษาแล้วก็ทำตามตำรานั้น
ท่านบอกว่า ยันต์เกราะเพชรนั้นเป็นบารมีพระพุทธเจ้า การเป่ายันต์เกราะเพชร เขาเป่ากันทีละศาลา อาตมภาพเจอครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๕ หลวงพ่อวัดท่าซุงประกาศเป่ายันต์เกราะเพชร ลูกศิษย์หลานศิษย์ก็ตั้งใจไปรับกัน ตอนนั้นศาลาทำบุญของวัดท่าซุงก็คือศาลาพระพินิจอักษร ปรากฏว่าต้องเป่ายันต์ถึง ๕ - ๖ รอบด้วยกัน ท่านจึงรีบสร้างศาลา ๒ ไร่ต่อมา
แต่ว่ายังสร้างไม่ทันจะเสร็จ วันที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๖ ทำการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ศาลา ๒ ไร่ วัดท่าซุง ได้ผลดีมาก เพราะว่าฝุ่นจับขาววอกไปทุกคน..! เนื่องเพราะว่าเพิ่งเทพื้นใหม่ ๆ ช่างต้องเอาฝุ่นปูนซัดเอาไว้เพื่อให้พื้นแห้ง พวกเราต้องไปนั่งคลุกฝุ่นกันจนกระทั่งตัวขาววอกไปหมด ดังนั้น..ใครรับยันต์ในการเป่าครั้งที่ ๒ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ต้องคลุกฝุ่นมาด้วยกัน (ลูกเจนนี่..แม่หนูก็ไปคลุกฝุ่นกับหลวงพ่อมาแล้วนะจ๊ะ..!)
พอเป่ายันต์ครั้งที่ ๓ วันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ ศาลา ๒ ไร่พัง..! เพราะว่าโยมเป็นแสนคนอัดกันแน่น แล้วมีการเบียด การดัน การกระแทกกันขึ้นมา ประตูยืดที่เป็นประตูศาลา ๒ ไร่โดนเบียดกระเด็นไปทั้งยวง..! หลวงพ่อท่านจึงต้องสร้างศาลา ๔ ไร่เพิ่มขึ้นมา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2024 เมื่อ 02:58
|