ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 08-09-2024, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,654
ได้ให้อนุโมทนา: 158,549
ได้รับอนุโมทนา 4,488,878 ครั้ง ใน 36,263 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราเองก็เป็นเช่นนั้นมาก่อน ตอนนี้เราก้าวข้ามไปแล้ว เขาทั้งหลายเป็นผู้มารับช่วงความเลวของเราไป แบก รัก โลภ โกรธ หลง ที่เราเคยแบกเอาไว้แทน ก็แปลว่าเขาเหล่านั้นก็คือทายาท คือผู้รับมรดกไปจากเรา เท่ากับว่าเป็นลูกเป็นหลานของเรานั่นเอง เราเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน ตอนนี้ลูกหลานเป็นแบบนั้นบ้าง แทนที่เราจะไปโกรธไปเคืองเขา ก็สงสารเขาเถอะ ถ้ามีโอกาสแล้วค่อยชี้แจงให้เขาทราบว่า สิ่งที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร

ถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายคิดไม่เป็น ชำระใจของตนให้ รัก โลภ โกรธ หลง หลุดออกไปไม่เป็น ก็จะเกิดประสบการณ์อย่างที่แทบทุกคนเกิด ก็คือ "เก็บกด" ค่อย ๆ สะสมเอาไว้ แล้วความซวยจะไปเกิดกับคนสุดท้ายที่เข้ามาถึง เมื่อเก็บกดมากเข้า ๆ ก็เหมือนกับลูกโป่ง โดนเป่าลมอัดเข้าไปจนเต็มที่แล้ว คนสุดท้ายแค่มาสะกิดนิดเดียว ก็ระเบิดตูมใส่หน้าเขาไปเลย..! คนที่โดนก็จะงงมากว่า "อะไรวะ ? แค่นี้ต้องโกรธขนาดนี้ด้วยหรือ ?" แต่ความจริงบางทีเราเก็บกดมาเป็นเดือน ๆ แล้ว

ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่อยากเกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เพราะว่าเก็บกด รัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ ก็ต้องใช้ปัญญาคิดให้เป็น สลัดออกไปให้ได้ ที่บาลีใช้คำว่า จาโคก็คือละออกไป ปฏินิสสัคโคคือสลัดทิ้งไป ถึงจะมุตติ หลุดพ้น อนาลโย ปราศจากความห่วงหาอาลัยอีก

ดังนั้น..การทำงานแต่ละครั้งแต่ละงาน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต้องสังเกตเลยคือกำลังใจของเรา งานนี้กำไรหรือว่าขาดทุน เสมอตัวยากมาก ส่วนใหญ่ไม่กำไรก็ขาดทุน ถ้ากำไร ได้มากหรือน้อย ? ถ้าหากว่าขาดทุน เราสามารถยืดระยะได้มากกว่าครั้งที่แล้วหรือว่าน้อยกว่าครั้งที่แล้ว ? ต้องสังเกตให้เป็น ต้องดูให้ออก แล้วค่อย ๆ แก้ไขไป

ถ้าตราบใดที่เราดูใจตัวเองไม่ได้ อ่านใจตัวเองไม่ออก เราจะหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย เพราะว่าไปรอคนอื่นเขาบอกก็เป็นเรื่องยาก เนื่องเพราะว่าทุกคนก็รักแต่ตัวเอง กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วเราจะโกรธจะเคืองเขา เราก็เลยไม่มีกระจกที่จะมาส่องให้เห็นภาพพจน์ที่น่าเกลียดของตนเอง จึงต้องคอยพินิจพิจารณาดู แล้วก็พยายามที่จะชำระใจให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราจะทำงานด้วยความสนุกมาก เพราะจะต้องคอยดูว่า งานนี้เราจะยืนระยะได้มากกว่าครั้งที่แล้วหรือเปล่า ? เจอแรงกระทบแล้ว เราพังง่ายกว่าเดิม หรือยังสามารถที่จะต่อต้านได้ ? แต่ละงานกำไรหรือขาดทุน ? เหล่านี้เป็นต้น ก็แปลว่าในแต่ละงานคือการที่เราสั่งสมประสบการณ์ในการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเอง อาศัยงานพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งท้ายที่สุด เราก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ รัก โลภ โกรธ หลง ได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าจะสลัดตัดทิ้งไปได้เมื่อไร

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2024 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา