และโดยเฉพาะหลายท่านที่เกิดมา บางทีก็ยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร จึงต้องท้าวความตั้งแต่พระรัตนตรัย ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่สรุปลงมาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
ทั้ง ๆ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น เริ่มจากปัญญา ศีล และสมาธิ แต่ว่าโบราณาจารย์ท่านกล่าวให้ฟังง่าย ๆ ตามลำดับความยากง่ายของการปฏิบัติ จึงกล่าวเป็นศีล สมาธิ และปัญญา เนื่องเพราะว่าศีลนั้นควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย สมาธินั้นควบคุมทั้งกาย วาจา และความคิด คือใจของเรา ส่วนปัญญานั้น เมื่อควบคุมทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว จะก่อให้เกิดความรู้แจ้ง ซึ่งยากลำบากขึ้นไปเป็นขั้น ๆ เขาจึงได้เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา
ส่วนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ก็คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์นั้นก็คือสิ่งยากลำบากที่เราต้องทนด้วยกาย ด้วยใจ
สมุทัยคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น
นิโรธคือความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ดับลง
มรรคก็คือหนทางที่จะดับทุกข์
ถ้าท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจจะเห็นว่า "ทำไมจัดเรียงลำดับได้สับสนมาก ?" ทำไมถึงไม่เป็นสมุทัย ก็คือเหตุทำให้ทุกข์เกิด แล้วก็ดำเนินไปตามมรรคเพื่อดับทุกข์ เมื่อดับทุกข์ได้ นิโรธก็จะบังเกิดขึ้น ?
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการจัดเรียงลำดับของอริยสัจ ๔ นั้น จัดเรียงตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน ก็คือเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น ทุกคนก็รู้แต่ทุกข์อย่างเดียว ดิ้นรนหาทางออกทุกวิถีทาง จึงได้พบว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร ครั้นเมื่อเปะปะไป สามารถทำให้ความทุกข์นั้นสงบลงได้ ก็รู้สึกว่านี่คือนิโรธ แล้วนิโรธมาได้อย่างไร ? ถึงจะไปมองหา แล้วก็พบว่ามาจากมรรคนั่นเอง จึงได้เรียงว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตามอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา
ถ้าเราไม่มีความชำนาญตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อคนมาสอบถาม เราไม่สามารถที่จะตอบได้ก็ต้องบอกว่า "เสียภูมิ" ซึ่งคนในปัจจุบันนี้ใช้คำว่า "เสียฟอร์ม" คือหมดสภาพ หมดรูปร่างนั่นเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2024 เมื่อ 03:38
|