การที่ญาติโยมทั้งหลายอยู่ในหมู่บ้านแสนกะบะ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดจอมบึง มีไร่สุขพ่วงเป็นตัวอย่างในการทำเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์สถานที่ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ทำให้เห็นว่าทุกภาคส่วนนั้นต้องประกอบไปด้วยหลักธรรม
อันดับแรกเลยคือสามัคคีธรรม ถ้าไม่รักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกัน ไม่มีทางที่จะทำแบบนี้ได้
อันดับที่สองก็คือต้องมีเมตตาธรรม ถ้าไม่มีเมตตาธรรม ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อประสานงาน แล้วได้รับความอนุเคราะห์สงเคราะห์ไปเสียทุกที่
และอันดับสุดท้ายก็คือต้องมีคุณธรรม ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีคุณธรรมอยู่ในจิตใจไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่สามารถที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่นได้ แต่นี่วัด มหาวิทยาลัย ส่วนราชการ และไร่เอกชน สามารถประสานกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างน่าชื่นชม
ถ้าในสายตามองโลกในแง่ลบ ก็คือหาความดีไม่ได้เลย กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง แต่ถ้าหากว่าเรามองโลกในแง่บวก จะเห็นข้อธรรมดี ๆ ของชาวบ้านเหล่านี้ มีอยู่มากมายมหาศาลสมกับที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเรียนถวายไป บรรดาคณะกรรมการทั้งหลายก็ยังทำหน้างง ๆ กระพริบตาปริบ ๆ อยู่ในลักษณะว่า "แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?" กระผม/อาตมภาพแค่อยากจะบอกให้เห็นว่า เวลาคนเรา "มองต่างมุม" ก็จะเหมือนกับที่ภาษิตฝรั่งที่ได้รับการแปลเป็นไทยว่า "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย"
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "มองโลกในแง่บวก" กระจายพลังบวกให้กับคนอื่น ไม่เอาสิ่งที่เป็นแง่ลบเข้ามาอยู่ในจิตในใจของเรา ถ้าท่านทั้งหลายรับแต่ส่วนดี สลัดทิ้งส่วนชั่วไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุด เมื่อชั่วหมด ดีเต็ม ท่านจะไปไหนได้ ? นอกจากหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2024 เมื่อ 03:26
|