แล้วโดยเฉพาะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปเถียงด้วย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า บุคคลทั้งหลายนั้นไม่ควรกล่าวคำพูดอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เนื่องเพราะว่าคำพูดอันเป็นเหตุให้เถียงกันนั้นย่อมทำให้พูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่าน จิตใจย่อมห่างจากสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพียงนี้ แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า เมื่อห่างจากสมาธิก็ขาดสติ สิ้นคิด ไปกล่าวตู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพบเข้า ก็ต้องรักษาใจของตนให้ดี อย่าไปโกรธ ไปเกลียด ไปชังใคร หากแต่ต้องมองเห็นว่า "สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็บอกกล่าวกับบริษัทบริวารของเราไป
ส่วนท่านเองไปเผยแพร่แนวคิดผิด ๆ แม้กระทั่งจะฉันอาหารเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ ก็บอกว่าฉันได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แปลว่าท่านเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้ว ยกท่านไว้เถอะ พวกเราทั้งหลายก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือว่าปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่ท่านยึดถือพระไตรปิฎกหรือวิสุทธิมรรคเป็นหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงออกนอกลู่นอกทางแบบนั้น
โดยเฉพาะนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ทุกคนจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่อยากจะสอนคนอื่น กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่านั่นไม่ใช่ความคิดของเรา หากแต่เป็นการดลใจของกิเลสมาร เพราะไปเห็นว่าการสอนคนอื่นนั้น จะทำให้มีบริวารมาก มีชื่อเสียง มีลาภยศ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบ่วงมารที่จะร้อยรัดตัวเราให้ตกอยู่ในวัฏสงสารทั้งสิ้น ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านยังอยู่ในระดับนั้น แปลว่าคุณสมบัติยังไม่เพียงพอที่จะไปสอนใคร สอนไปก็เหมือนกับ "คนตาบอดขี่ม้าตาบอด" มีแต่จะพากันลงเหวลงห้วย ตายทิ้งเสียเปล่า ๆ..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2024 เมื่อ 02:51
|