แล้วสมัยนี้ครูบาอาจารย์ประเภทนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบางท่านที่มั่นอกมั่นใจว่าตนเองมีความรู้มากกว่าพระภิกษุสามเณรที่ศึกษามาน้อยกว่า ถึงขนาดตั้งแง่รังเกียจว่าประพฤติอย่างนั้นก็ไม่ถูก ประพฤติอย่างนี้ก็ไม่เคร่งครัด ต้องอย่างที่ท่านเห็นว่าใช่เท่านั้น
กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าท่านเข้าใจว่าท่านมีความสามารถที่แท้จริง ท่านก็ทำตัวของท่านให้เข้าถึงที่สุดไปเถิด ไม่ต้องเสียเวลามายุ่งเกี่ยว ทำให้คนอื่นเขา "เนิ่นช้า" ตามตัวของท่านไปด้วย เนื่องเพราะว่าถ้าเดินผิดทาง กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็จะมีแต่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ
ในขณะเดียวกัน กิเลสต่าง ๆ ที่ยังร้อยรัดตนเองอยู่อย่างเต็มที่ แต่เราไปเข้าใจว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส เนื่องจากว่าเป็นคนแก่ ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง จืดจางเบาบางลงไปตามอายุ แต่ขณะเดียวกัน มานะถือตัวถือตนก็ยิ่งมีมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจผิดไปได้ว่าตนเองใกล้มรรคใกล้ผลแล้ว ตนเองมีความสามารถเหนือกว่าพระภิกษุสามเณรทั่ว ๆ ไปแล้ว เพราะว่าสามารถเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น แต่การมองออกไปสู่คนอื่นนั้นเป็นการมองง่าย การมองย้อนกลับมาเพื่อสั่งสอนตนเอง แก้ไขตนเองนั้นเป็นเรื่องยาก
กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ตั้งกุศลจิตปรารถนาดีว่า ท่านคงจะสามารถกลับตัวกลับใจได้ก่อน "วินาทีสุดท้าย" เพื่อที่อย่างน้อย ๆ ท่านจะได้มีสุคติเป็นที่ไป หาไม่แล้วก็อาจจะต้องเดือดร้อนวุ่นวายจากการเวียนว่ายตายเกิดในทุคติอีกนานเหลือที่จะนับคณา..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-08-2024 เมื่อ 01:20
|