กระผม/อาตมภาพเองอยากจะบอกว่าคนพูดนั้นเข้าใจผิด เนื่องเพราะว่าการตัดกิเลสนั้นต้องมีกำลังสมาธิในการช่วยปัญญา ถ้ากำลังสมาธิถึงระดับปฐมฌานละเอียด ท่านจะมีกำลังตัดได้ในระดับพระโสดาบันและพระสกทาคามี แต่ถ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป สมาธิของท่านต้องถึงระดับฌาน ๔ ละเอียดคล่องตัว ไม่เช่นนั้นแล้วกำลังก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยปัญญาในการตัดกิเลสได้
หลวงปู่ท่านนั้น เมื่อพิจารณาจดจ่อต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ต่อให้ท่านดำเนินในลักษณะของขณิกสมาธิ หรือว่าอุปจารสมาธิก็ตาม ท้ายที่สุดก็จะสั่งสมจนกระทั่งกลายเป็นระดับฌาน ๔ เพียงพอที่จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอรหันต์ อริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
ท่านต้องไม่ลืมว่าหลวงปู่ท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ตลอด ๖๐ ปีแล้วถึงบรรลุ เนื่องเพราะว่าใช้สมาธิไม่เพียงพอ หรืออยากจะบอกว่าปฏิบัติในเบื้องต้นแบบผิด ๆ ก็กล่าวได้ แต่ถ้าหากว่าเราเองอายุไม่ยืนยาวเท่าหลวงปู่ ก็มีสิทธิ์ที่จะตายฟรี โดยปราศจากคุณงามความดีใด ๆ เลย เนื่องเพราะว่ากำลังของเราไม่เพียงพอที่จะตัดกิเลส ถ้าสภาพจิตเกาะความดีได้ ก็มีสุคติเบื้องต้นเป็นที่ไป แต่ถ้าเกาะความดีไม่ได้ เกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย โอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิก็มีมาก
ในเมื่อมีวิธีการที่เหมาะสม ก็คืออ้างถึงอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ โดยที่กล่าวว่าทุกอย่างต้องเสมอกันถึงจะบังเกิดผล กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ถกเถียง หากแต่อยากจะเรียนถามกลับไปว่า ในเมื่อเรามีกำลังสมาธิสูง แล้วทำไมถึงไม่ปรับอินทรีย์ตัวอื่นขึ้นมา ? ก็คือยกเอา ศรัทธา วิริยะ สติและปัญญาขึ้นมาให้เท่าเทียมกับสมาธิ ไม่ใช่ว่าบังคับให้ลดสมาธิลงไป แล้วก็ไปทุกข์ทรมานด้วยการปฏิบัติผิดวิธีที่โง่เขลาแบบนั้น..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-08-2024 เมื่อ 01:18
|