หลังจากที่เราอธิบายขยายความปริหาระ ในลักษณะของการนำไปใช้งานในชีวิตจริงแล้ว ปฏิสังขรณะก็จะต้องอธิบายไปในลักษณะที่ว่าพัฒนาทั้งตนเองและผู้อื่น ด้วยการปรับปรุงกาย วาจา และใจของตนด้วยหลักธรรมต่าง ๆ จนกระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนเป็นกัลยาณชน เป็นอริยชน และท้ายสุด เมื่อพัฒนาตนจนเต็มที่ก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้
ในเรื่องการแสดงพระธรรมเทศนานั้น เราต้องหวังผลสูงสุดว่า ผู้ฟังต้องสามารถนำเอาสิ่งที่ฟังนั้นไปใช้งานในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่อธิบายขยายความมั่วไปหมด เพื่อให้ครบเวลา ๓๐ นาทีตามที่ตนต้องการ ถ้าลักษณะอย่างนั้น ต่อให้ท่านเขียนกัณฑ์เทศน์เก่งขนาดไหนก็ตาม ก็มีแต่จะทำให้ผู้รู้จริงเขาหมดอารมณ์มากเท่านั้น..!
เรื่องนี้ไม่สามารถที่จะโทษพระท่านได้ เพราะว่าท่านแสดงพระธรรมเทศนาไปตามกัณฑ์เทศน์ที่เขียนเอาไว้ แต่เมื่อเขียนไปแล้วต้องการให้มี ๕ ป. ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการ "แหกคอก" ในสิ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ท่านก็ต้องหาทางที่จะนำเอาสิ่งที่ "แหกคอก" นั้น ผสานเข้าไปให้เนียนที่สุดเท่าที่จะเนียนได้ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็กระชากกลับชนิดหัวทิ่มเลยว่า บรรลุมรรคบรรลุผลกันไปแล้วก็ต้องไปปกครอง ต้องไปบูรณปฏิสังขรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องทางโลก ๆ จนเกินไป เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านเองก็หลงไปกับตำราที่สมัยนี้เขียนกันเอาไว้ส่งเดช โดยการประกาศว่าเดือนนี้คือเดือนสาวะนะมาสัสสะ หรือว่าเดือน ๙ ตามภาษาบาลี ความจริงแล้วเดือนของภาษาบาลีนั้นต้องเป็นเดือนทางจันทรคติ นับขึ้นนับแรมกัน ก็คือ
เดือนอ้าย ได้แก่ เดือนมิคะสิระมาสัสสะ
เดือนยี่ คือ เดือนปุสสะมาสัสสะ
เดือน ๓ คือ เดือนมาฆะมาสัสสะ
เดือน ๔ คือ เดือนผัคคุณะมาสัสสะ
เดือน ๕ คือ เดือนจิตตะมาสัสสะ
เดือน ๖ คือ เดือนวิสาขะมาสัสสะ
เดือน ๗ คือ เดือนเชฏฐะมาสัสสะ
เดือน ๘ คือ เดือนอาสาฬหะมาสัสสะ
เดือน ๙ คือ เดือนสาวะนะมาสัสสะ
เดือน ๑๐ คือ เดือนโปฏฐะปะทะมาสัสสะ หรือ ภัททะปะทะมาสัสสะ
เดือน ๑๑ คือ เดือนอัสสะยุชะมาสัสสะ
เดือน ๑๒ คือ เดือนกัตติกามาสัสสะ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2024 เมื่อ 02:44
|