หลายท่านที่เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนากล่าวหาว่าเจ้าชายสิทธัตถะไร้ความรับผิดชอบ เพราะว่าทิ้งลูกทิ้งเมียหนีไปบวช โดยที่เอากำลังใจของตนเองเข้าไปวัด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น พระองค์ท่านพิจารณาว่า ถ้ายังอยู่ในห้วงน้ำย่อมไม่สามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ถ้าขึ้นสู่ฝั่งเมื่อไร จะช่วยคนมากมายเท่าไรก็ช่วยได้ จึงต้องใช้วิธีสละสิ่งผูกมัดทั้งหลายออกไปก่อน เมื่อประสบความสำเร็จแล้วค่อยกลับมาช่วย
อย่างที่ในพุทธประวัติจะเห็นว่าพระองค์ท่านเสด็จไปโปรดพุทธบิดา เสด็จไปโปรดพุทธมารดายันสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาและพระราหุลราชกุมาร นั่นคือถ้าสามารถพ้นไปได้แล้วจะกลับมาช่วยใครก็ได้ แต่ถ้ายังไม่พ้น ก็มีแต่จะกอดคอกันจมอยู่ในห้วงวัฏสงสาร ไม่รู้ผุดไม่รู้เกิดต่อไป
ดังนั้น..ในเรื่องของความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นแล้วเศร้าสลด แต่ต้องเห็นแล้วสะดุ้งกลัวว่า ภัยทั้งหลายเหล่านี้จักมาถึงเราเมื่อไรก็ไม่แน่ เราต้องเร่งรัดการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของตนเองให้เต็มที่ยิ่งกว่านี้ เพื่อที่ถึงเวลา ความตายที่หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้มาถึง ถ้าเราไม่สามารถหลุดพ้นได้ อย่างน้อยก็ขอให้หนทางการเวียนว่ายตายเกิดที่ยาวไกลไม่รู้จบนั้น สั้นลงมากที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ หรือถ้าประสบความสำเร็จ พ้นจากกองทุกข์ในชาตินี้ไปได้เลยก็ยิ่งดี
แล้วหมั่นพิจารณาในมรณานุสติ ก็คือความตายนี้มาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
จึงเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งรัดตนเองให้มากที่สุดก่อนที่ความตายจะมาถึง ก็แปลว่าต้องเอาความตายเป็นบทเรียน เป็นแรงกระตุ้น ให้เราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2024 เมื่อ 02:06
|