แล้วการที่เราจะทำเช่นนั้นได้ก็แปลว่าเราต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิทรงตัวเมื่อไร สติก็จะว่องไว ปัญญาก็จะแหลมคม และโดยเฉพาะมีกำลังในการหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีล เอาแค่ใครที่ยังไม่สามารถจะห้ามตนเองให้กินอาหารตอนเย็นได้ ถ้าหากว่าห้ามปากตัวเองได้สำเร็จเมื่อไร สามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ เนื่องเพราะว่ากำลังใจในการหักห้ามไม่ให้กินของที่ชอบ กับกำลังใจในการห้ามตนไม่ให้ละเมิดศีล ใช้กำลังใจเท่ากัน
ถ้าหากว่าเราท่านทรงสมาธิเป็นปกติ กำลังใจอยู่กับการภาวนา ร่างกายจะตัดความรู้สึกอื่น ๆ ออกไป จะไม่รู้สึกหิว หรือถ้าทำแล้วเกิดปีติขึ้นมายิ่งดี เพราะว่าเราไปเสวยปีตินั้นแทน ไม่รู้สึกถึงความหิวของร่างกาย
ในเมื่อมาถึงระดับนี้แล้วก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ทำอย่างไรที่จะใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ว่าการบวชของเราที่เสี่ยงต่อการตกนรกอย่างสาหัส เราบวชแล้วจะทำอย่างไรให้ได้กำไรให้มากที่สุด ก็ต้องพยายามพินิจพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ จนกระทั่งสภาพจิตเบื่อหน่ายในความไม่มีแก่นสาร เบื่อหน่ายในความสกปรกโสโครก เบื่อหน่ายในความเป็นรังของโรค
แล้วสภาพจิตของเราค่อย ๆ คลายจากการยึดมั่นถือมั่นได้ออกมาได้ คลายได้น้อยก็กำไรน้อย คลายได้มากก็กำไรมาก ถ้าสามารถตัดละร่างกายของตนเองได้จริง ๆ การตัดละร่างกายคนอื่นก็ง่ายกว่าตั้งเยอะ
ในเมื่อไม่เห็นความดีความงามของร่างกายตนเอง ของร่างกายคนอื่น ความยึดเกาะในโลกนี้ก็ไม่มี เพราะว่าสิ่งที่เรารักมากที่สุดก็คือตัวตนร่างกายของเรานี่เอง เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ถึงเวลาก็สร้างทุกข์สร้างโทษให้เราหนักหนาสาหัส เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ สภาพจิตที่เบื่อหน่ายเพราะเห็นจริง ก็จะคลายการยึดการเกาะออกมา ในลักษณะแบบนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราจึงสามารถที่จะส่งผลให้เราพ้นจากกองทุกข์ไปตามลำดับ ตัดละได้มากก็พ้นได้มาก ตัดละได้น้อยก็พ้นได้น้อย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2024 เมื่อ 02:55
|