ทางพระครูต้นขอให้เจิมรูปพระพิราพ ซึ่งมีทั้งหน้ากากโขนพระฤๅษี และหน้ากากโขนพระพิราพที่งดงามมาก ๆ อยู่ด้วย กระผม/อาตมภาพนั้นเกรงใจพ่อปู่พระฤๅษีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าพ่อปู่พระฤๅษีทั้ง ๑๐๘ องค์นั้น บางองค์ก็เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว หลายองค์ก็เป็นพรหมชั้นอนาคามี จึงบอกว่า "ขอเจิมแค่ฐานองค์พระพิราพก็แล้วกัน"
พระพิราพนั้นจะว่าไปแล้ว ทางด้านบ้านเราเมืองเราถือว่าเป็นครูแห่งนาฏศิลป์และดนตรีกาลทั้งปวง แต่ถ้าหากว่าเป็นทางประเทศเนปาล ก็ต้องยกให้เจ้าแม่นภิสราเทวี เจ้าแม่หลักเมืองของเนปาล ซึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าใครบนบานศาลกล่าวเจ้าแม่ไภรวะ ก็เป็นอันว่าเสร็จท่านไปด้วย เพราะว่าท่านรับหน้าที่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ตำแหน่งที่นั่น คำว่าไภรวะ พอเขียนแปลงเป็นภาษาไทยก็ออกมาว่าพิราพ ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระศิวะนั่นเอง
แต่ถ้าว่ากล่าวกันตามแบบที่กระผม/อาตมภาพเข้าใจ พระศิวะก็คือท่านปู่พระอินทร์นั่นเอง เพียงแต่ว่าเทพเจ้าของชาวฮินดูนั้น ได้รับการสถาปนาหรือแต่งตั้งขึ้นมาโดยอาศัยกิเลสมนุษย์ล้วน ๆ..! จึงทำให้เทพเจ้าของฮินดูค่อนข้างจะ "ดาร์ก" อยู่สักหน่อย ก็คือบางทีการประพฤติปฏิบัติก็ไม่ได้อยู่กับร่องกับรอยให้สมกับเป็นเทวดาที่ได้ชื่อว่าผู้ประเสริฐเลย..!
จึงทำให้เห็นชัด ๆ เลยว่า ในด้านของเทวตานุสตินั้น ศาสนาพุทธของเราแยกแยะได้ชัดเจนที่สุด ก็คือถ้าหากว่าเป็นเทวดาในระดับต่ำ ที่เรียกว่ารุกขเทวดาก็ดี ภุมมเทวดาก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ยังต้องพึ่งพาบุญกุศลจากพวกเราที่อุทิศไปให้ เพื่อว่าความดีครบถ้วนสมบูรณ์ หรือว่าเต็มแล้ว ท่านก็จะได้เลื่อนภพภูมิขึ้นไปเป็นอากาสเทวดา หรือที่เรียกกันภาษาไทยง่าย ๆ ว่าอากาศเทวดา
อากาสเทวดาทั้ง ๖ ชั้นนั้นก็มีพระอริยเจ้าปนเปอยู่ด้วย ก็คือบางพวกเป็นพระโสดาบันบ้าง บางพวกเป็นพระสกทาคามีบ้าง บางพวกเป็นพระอนาคามีบ้าง โดยเฉพาะท่านที่เป็นอนาคามีนั้น โดยปกติแล้วจะต้องอยู่สุทธาวาสพรหม แต่ว่าพระอนาคามีที่เจอนั้น ท่านบอกว่าท่านอยากจะอยู่แค่นี้ เพราะว่ามีเพื่อนที่รักใคร่นับถือกันอยู่ที่นี่ ในเมื่อบุคคลที่มีเงินแต่อยากจะอยู่กระต๊อบ เราก็ไม่สามารถที่จะขัดได้ แต่ถ้าหากว่าคนไม่มีสตางค์ อยากจะอยู่พระราชวัง ก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน..!
เพียงแต่ว่าเทวดาของเรานั้นจะต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์เป็นอย่างน้อย และประกอบไปด้วย หิริ -โอตัปปะ คือความละอายชั่วกลัวบาป ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะเกิดเป็นเทวดาได้ หรือว่าเกิดมาด้วยบุญอื่นๆ แล้วก็ตาม ก็จะต้องเป็นผู้มีศีลและมี หิริ -โอตัปปะไปโดยอัตโนมัติ ไม่เช่นนั้นถ้าหากว่าไปล่วงละเมิดสิ่งหนึ่งประการใดเข้า ก็จะสูญเสียกายทิพย์ไป แล้วทำให้ต้องจุติ คือเคลื่อนไปสู่ภพภูมิที่ต่ำกว่า ซึ่งมีแต่ความทุกข์ยาก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2024 เมื่อ 00:43
|