กระผม/อาตมภาพจึงให้คำแนะนำไปว่า "ถ้าอย่างนั้นอันดับแรกเลย เพื่อนฝูงของเราจบปริญญากันมากมายแล้ว คุณไปสมัครเรียนในวิทยาลัยสงฆ์ พยายามที่จะทำให้คนอื่นเห็นว่า เราพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง จากคนที่ไม่มีอนาคตทางการศึกษา กลายเป็นภาระของครอบครัว กลายเป็นภาระของสังคม เราจะยืนหยัดขึ้นมาเป็นอีกบุคคลหนึ่ง สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัว แล้วขณะเดียวกัน ก็เป็นความภูมิใจแก่ตัวเองด้วย"
เมื่อได้ยินดังนั้น นอกจากการสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐานตามระเบียบของวัดแล้ว ท่านก็ไปศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยของเรานี่เอง จบปริญญาตรีได้ พ่อแม่ดีใจแทบจะปิดบ้านฉลอง..! เนื่องเพราะไม่คิดว่าลูกคนนี้จะมีโอกาสนำเอาปริญญาไปให้พ่อแม่ชื่นใจได้ แล้วท่านยังเรียนต่อจนจบปริญญาโท ซึ่งถ้าในครอบครัวของท่านก็ถือว่าจบสูงสุด แต่ว่าตอนนี้ท่านกำลังจะจบปริญญาเอกแล้ว ภายในปีการศึกษานี้ ท่านจะสำเร็จปริญญาเอก เป็น "ด็อกเตอร์" คนแรกในครอบครัวของท่านแล้ว
นี่คือบุคคลที่เคยเป็นภาระของครอบครัว เป็นภาระของสังคม แล้วก็โดนส่งตัวเข้ามาในวัดวาอาราม เพื่อให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ได้ช่วยกันชุบ ช่วยกันขัด ช่วยกันเกลา จากวัตถุดิบที่อยู่ในระดับเกรด C เกรด D หรืออาจจะถึง F เลยก็ได้ พยายามเกลาออกมาให้เป็นผลผลิตในระดับ B+ หรือ A ดังนั้น..ในบรรดาพระภิกษุสงฆ์สามเณรของพระพุทธศาสนาของเรา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลว ต้องขอใช้คำแรง ๆ แบบนี้ แต่ว่าเราก็พยายามที่จะผลิตท่านออกมาให้เป็นสินค้าชั้นดีให้ได้
ถ้าโยมไม่โดนอคติบดบังใจก็จะเห็นว่า นี่คือการแบ่งเบาภาระในสังคมไปมากมายมหาศาล ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องเสียเวลาไปมีคดีความ ไม่ต้องให้เรามีตำรวจ ไม่ต้องให้เรามีอัยการ ไม่ต้องให้เรามีศาล ไม่ต้องให้เรามีเรือนจำ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ต้องมีงบประมาณมากมายมหาศาลป้อนเข้าไป แล้วพอออกมากลายเป็นว่าสามารถที่จะทำสิ่งเลวร้ายได้หนักยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นไปฝึกฝนวิชาในทางที่ไม่ดี แล้วก็ทำให้สังคมของเรามีภาระมากขึ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:17
|