ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้เท่ากับตอบไปในตัวแล้วว่า "พระเรามีประโยชน์อะไร ?" อันดับแรกเลย การบวชเข้ามา ต่อให้ไม่รู้อะไรเลยก็ตาม พระภิกษุเป็นศาสนบุคคล เท่ากับเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าในกิจวัตรที่ท่านได้กระทำเอาไว้ ก็คือการที่ระงับการเบียดเบียนต่อผู้อื่นด้วยศีล ก็แปลว่าท่านทั้งหลายอย่างน้อยก็จะมีคนดีเกิดขึ้นในสังคม ไม่มีผู้ที่ไปล่วงละเมิดด้วยการตีด่าฆ่าฟันคนอื่น ลักขโมยช่วงชิงสิ่งของของคนอื่น ละเมิดบุคคลที่คนอื่นเขารัก โกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตน แล้วก็กินเหล้าเมายาจนกระทั่งกลายเป็นภาระของสังคม ก็แปลว่าถ้าบวชเข้ามาแล้ว นอกจากจะเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้าท่านเองแค่รักษาศีลในเบื้องต้น ก็ยังช่วยให้สังคมของเราสงบเรียบร้อยได้
หลังจากนั้น ถ้าท่านศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจนเข้าใจในเรื่องของสมาธิและปัญญาบ้าง ท่านก็ยังสามารถเป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมีคุณภาพ แม้ว่าจะไม่ได้คุณภาพเต็มที่อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรก ๖๐ องค์ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าทั้ง ๖๐ องค์นั้นท่านเป็นพระอรหันต์ ปราศจากกิเลสแล้ว ทำหน้าที่ทุกอย่างโดยไม่มีความกังวล
เราท่านในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่นั้นพยายามขัดเกลาตนเองด้วย สั่งสอนคนอื่นด้วย แม้ขนาดนี้ก็ตาม ถ้าญาติโยมรู้จักสังเกตโดยไม่เอาอคติเข้าว่า แม้แต่วัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพก็เช่นกัน ก็คือบรรดาบุคคลที่ทางบ้าน "เอาไม่อยู่" แล้วก็ส่งมาให้บวชเป็นพระภิกษุสามเณร โดยที่ตั้งความหวังว่าจะอาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชุบสร้างให้บุตรหลานของท่านกลับเป็นคนดีในสังคม
อยากจะบอกว่ามีพระภิกษุวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง กว่าที่จะจบชั้นมัธยมได้ก็ทุลักทุเลเต็มที เพราะว่าเกเรอย่างเต็มที่ อะไรที่ไม่ดีทำมาหมด แต่พอถึงเวลาเข้ามาบวชตามประเพณี กระผม/อาตมภาพในฐานะพระอุปัชฌาย์ถามเขาแค่ว่า "ในชีวิตนี้เคยทำอะไรให้พ่อแม่ภูมิใจบ้างไหม ? แล้วในชีวิตนี้ตัวเรามีอะไรเป็นที่ภูมิใจของตัวเองบ้างไหม ?" เขาคิดอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ตอบว่า "ไม่มีเลยครับ ผมมีแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่และตัวเองมาตลอด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:15
|