ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่า หลังจากที่เราปฏิบัติธรรมไปแล้ว ถ้าเรามาฟุ้งซ่าน เราจะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการมาก เพราะว่าสมาธิของเราเข้มแข็ง ในเมื่อไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เป็นกิเลส ก็จะมุ่งมั่นรุนแรง แล้วก็จะทำให้กลับตัวได้ยาก ถอนตัวออกมาได้ยาก บางท่านต้องใช้คำว่า "บ้าไปจนกว่าจะหมดแรง" แล้วถึงจะย้อนกลับมาได้อีกทีหนึ่ง
ดังนั้น..การปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อท่านทำในส่วนของสมถกรรมฐาน ที่เหมือนกับการเพาะกำลังไปจนเต็มที่แล้ว ก็ต้องมาพิจารณาในส่วนของวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเปรียบเหมือนกับอาวุธที่มีคม เราต้องมีกำลังถึงยกอาวุธนั้นขึ้นมาได้ เอาไปตัด เอาไปฟัน ในส่วนของกิเลสต่าง ๆ ได้ ถ้าท่านมีแต่กำลัง ไม่มีอาวุธ ก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับกิเลสได้ แล้วยังโดนกิเลสหลอกเอากำลังไปใช้มาจัดการกับตัวเราอีก ถ้าท่านมีแต่อาวุธ ไม่มีกำลัง ก็ไม่สามารถที่จะยกอาวุธขึ้นไปตัดมาฟันสิ่งหนึ่งประการใดได้อีกเช่นกัน
ดังนั้น..ในเรื่องของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นเรื่องที่ควรจะทำควบคู่กันไป เมื่อเราภาวนาจนกำลังทรงตัวเต็มที่ จะเหมือนกับคนเดินไปชนผนัง ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ สภาพจิตของท่านจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นถ้าท่านไม่รีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา ก็จะโดนกิเลสดึงเอากำลังนั้นไปใช้งาน แล้วท่านก็จะฟุ้งซ่านไปหลายวัน กลายเป็นบุคคลที่กระทบไม่ได้ กระทบเมื่อไรก็ระเบิดจนกระทั่งหลายคนท้อใจ คิดว่ายิ่งปฏิบัติธรรม ทำไมกิเลสยิ่งมากขึ้น ?
วิธีที่ดีที่สุดจึงควรปฏิบัติทั้งสองอย่างสลับกันไปสลับกันมา เหมือนกับคนที่โดนผูกขาเอาไว้ เราต้องสลับกันเดินทีละข้างจึงจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้น ถ้าเราจะไปดื้อเดินข้างเดียว นอกจากเดินไม่ได้แล้ว แรงที่เราใช้ในการเดิน อาจจะกระตุกกลับ ทำให้เราหกล้ม หรือว่าบาดเจ็บอีกต่างหาก
ในส่วนนี้ท่านถามว่าผิดทางหรือเปล่า ? ก็ต้องบอกว่ามาถูกทาง เพราะว่าเห็นกิเลสตนเองอย่างชัดเจน แต่ว่าผิดวิธี ก็คือไปเน้นสมถะโดยไม่ได้ใช้วิปัสสนา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2024 เมื่อ 03:11
|