แล้วบรรดาผู้ที่ไปเยี่ยมภิกษุไข้ ผู้ที่ไปทำบุญตามวาระพิเศษอย่างเช่นวันเกิดตนเอง ก็มักจะมีซองปัจจัยไปถวายด้วย และบางวันก็ไปกันหลาย ๆ เจ้า ทำให้บรรดานักบวชไร้ยางอายเหล่านี้ มีการ "แย่งเตียง" กันอีก เพราะว่าเขามักจะถวายตั้งแต่ประตูเข้าไป ใครอยู่ใกล้ ๆ ประตูมากเท่าไร โอกาสได้รับก็มีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ถึงขนาดทะเลาะเบาะแว้งจะวางมวยกันก็มี..!
ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องบอกกับโยมว่า "เรากลับเดี๋ยวนี้เลย" เนื่องเพราะว่าไม่สามารถจะทนอยู่กับพวกเขาต่อไปได้ สรุปก็คือจากที่หมอกำหนดให้อยู่โรงพยาบาลอย่างน้อย ๓ วัน ก็ทนอยู่ได้แค่คืนเดียวเท่านั้น..!
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ความเป็นพระภิกษุของเรานั้น ในเบื้องต้นเลยก็คือต้องรักษาพระวินัย เราจะไปละเมิดโดยมีข้ออ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสนั้นมีมายามาก เมื่อถึงเวลาเราละเมิดเสียครั้งหนึ่ง กิเลสก็จะชวนให้ละเมิดครั้งต่อไป ข้ออ้างก็คือ "คราวที่แล้วยังได้เลย..!"
ประการต่อไปก็คือระยะนี้มีผู้ถกเถียงกัน เรื่องของหลวงปู่ศิลา สิริจนฺโท ความจริงท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชที่พระราชวัชรธรรมโสภณ ว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่ ? ตั้งใจจะปรับอาบัติปาราชิกกันเลย ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจคำว่าอุตริมนุสธรรมเสียก่อน ก็คือธรรมอันยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ ถ้าหากอย่างที่คู่สวดท่านบอกก็คือ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ วิมุติ มรรค ผล เหล่านี้เป็นต้น
คราวนี้เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ถ้าไม่มีแล้วไปอวดว่ามีก็จะต้องอาบัติปาราชิก แบบที่สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพปรับพระวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง ที่อวดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้กับเพื่อนพระในวัดท่าขนุนแห่งนี้ หลังจากที่ไต่สวนกันละเอียดเรียบร้อยท่ามกลางสงฆ์แล้ว ก็แจ้งว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ให้สึกหาลาเพศไป
แต่ถ้าหากว่าทำได้ก็แปลว่าท่านอวดได้ เนื่องเพราะว่าถ้าไม่มีแล้วไปอวดต้องอาบัติปาราชิก แต่มีแล้วไปอวดก็ต้องอาบัติอยู่ดี แต่หมายความว่าต้องอวดเพื่อประโยชน์ของตนถึงจะต้องอาบัติ อย่างเช่นอวดแล้วให้คนเขาเลื่อมใสมากขึ้น ผลประโยชน์ต่าง ๆ จะได้เกิดขึ้นกับตนเอง
แบบเดียวกับสมัยที่เกิดทุพภิกขภัย แล้วพระท่านก็ไปสรรเสริญกันว่ารูปนั้นได้ฌานที่ ๑ รูปที่ได้ฌานที่ ๒ รูปโน้นได้ฌานที่ ๓ ปรากฏว่าชาวบ้านเขาอดอยากก็จริง แต่ด้วยความเลื่อมใสว่ามีพระทรงฌานอยู่ ก็พากันเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ ในขณะพระที่อื่นผอมจนกระทั่งกระดูกและเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2024 เมื่อ 01:02
|